คณะวิทย์ มธ. เปิดบทวิเคราะห์ SDGs วิถีไทย ตก 4 เป้าดัชนีความยั่งยืน จาก 17 ข้อชี้ปี 2030 หากไทยยังทำได้ไม่ถึงเป้าฯ เสี่ยงรับแรงกดดันจากประชาคมโลก


-คณะวิทย์ มธ. เผย 3 ตัวแปรสำคัญ ทำไทยทิ้งห่างเป้าหมาย SDG “รัฐขาดการวางกลยุทธ์แบบบูรณาการ-คุณภาพชีวิตประชากรพื้นที่ชายขอบ-ความเหลื่อมล้ำในบางพื้นที่”
-คณะวิทย์ มธ. ขานรับ SDG ประเด็นหลักประกันน้ำฯ รุดส่งมอบพร้อมถ่ายทอด 3 นวัตกรรมวิทยาศาสตร์ “เตาผลิตถ่านคุณภาพสูง –ระบบกรองน้ำเพื่ออุปโภคบริโภค-การตรวจวัดคุณภาพน้ำ-” หนุนชุมชนบ้านแม่เงา ต.แม่สวด อ.สบเมย จ. แม่ฮ่องสอน พึ่งพาตนเองได้ยั่งยืน

คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เผยรายงาน SDR 2023 ระบุไทยแตะอันดับ 43 ของโลก แต่ยังขาด 4 เป้าหมาย สำคัญ ได้แก่ SDG2 ขจัดความหิวโหย, SDG3 สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี, SDG14 ทรัพยากรทางทะเล และ SDG15 ระบบนิเวศบนบก ชี้ปี ค.ศ. 2030 หวั่นไทยรับแรงกดดันจากมาตรการทางการค้าของประชาคมโลกหากไทยไปไม่ถึงเป้าฯ ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์พบ 3 ตัวแปรสำคัญฉุดรั้งไทยไกลมาตรฐาน คือ 1. รัฐขาดการวางกลยุทธ์แบบบูรณาการ 2. คุณภาพชีวิตคนชายขอบ และ 3. ความเหลื่อมล้ำในบางบริบทของพื้นที่ พร้อมแนะรัฐบาลยึด 3 หลักป้องกันไทยถูกกีดกันทางการค้าและเศรษฐกิจ เพื่อชิงความได้เปรียบด้านทรัพยากรและบุคลากรศักยภาพสูง คือ วางกลยุทธ์ผลักดัน SDG ที่มีระบบ-ต่อเนื่อง ผ่านการบูรณาการความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน อัดฉีดงบฯ หนุนหน่วยงานที่มีศักยภาพ ขับเคลื่อนโครงการหรือกิจกรรม ยกระดับเศรษฐกิจฐานรากโตต่อได้ยั่งยืน ออกแผนส่งเสริมความรับผิดชอบร่วมกัน จัดแคมเปญรณรงค์เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของคนไทย พร้อมสนับสนุนให้นักวิจัยพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ 3 แกนของการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) 

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เยาวทัศน์ บุญกล้า อาจารย์ประจำสาขาวิชาเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนายั่งยืน คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (SCI-TU) เผยว่า คณะวิทย์ มธ. ได้นำประเด็นการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ซึ่งถือเป็นวาระสำคัญที่ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจ มาวิเคราะห์โอกาสและทิศทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ตามแนวทางเพื่อปรับสมดุลความยั่งยืนใน 3 มิติ ที่ครอบคลุมการเติบโตทั้งทางเศรษฐกิจ (Economic Growth) มิติทางสังคม (Social Inclusion) และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม (Environmental Protection) ที่ปัจจุบันมีเป้าหมายร่วมกัน 17 เป้าหมาย ซึ่งจากรายงาน ‘Sustainable Development Report 2023 (SDR 2023)’ ระบุว่า ไทยได้รับการจัดอันดับที่ 43 จาก 166 ประเทศ สูงขึ้นหนึ่งอันดับจากปีที่ผ่านมา หลังบรรลุเป้าหมายที่ 4 (SDG4) การศึกษาที่มีคุณภาพให้กลายสถานะเป็นสีเขียว ต่อจากเป้าหมาย SDG1 ขจัดความยากจน 

แต่สิ่งที่น่ากังวล คือ ยังมี 4 เป้าหมาย ที่อยู่ใน “สถานะท้าทายมาก” (สีแดง) ซึ่งครอบคลุม 9 ตัวชี้วัดย่อย หรือสถานการณ์วิกฤตมีความท้าทายอย่างมาก โดยคณะวิทย์ฯ มธ. มองว่า หากจะผลักดันให้บรรลุเป้าหมายให้ครบทุกเป้าหมาย ประเทศไทยมีต้องขับเคลื่อนทั้ง 4 เป้าหมาย ที่มี 9 ตัวชี้วัดย่อยให้ครบ โดยมีรายละเอียดดังนี้ 

  • SDG 2 ยุติความหิวโหย ความมุ่งมั่นในการขจัดความหิวโหยและความอดอยากทุกรูปแบบ ซึ่งครอบคลุม 3 ตัวชี้วัดย่อยได้แก่ 

(1) SDG 2.1 ยุติความหิวโหยและสร้างหลักประกันให้ทุกคนได้เข้าถึงอาหารที่ปลอดภัย มีโภชนาการ และเพียงพอตลอดทั้งปี 

(2) SDG 2.2 ยุติภาวะทุพโภชนาการทุกรูปแบบและแก้ไขปัญหาความต้องการสารอาหารของ หญิงวัยรุ่น หญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร และผู้สูงอายุ 

(3) SDG 2.4 สร้างหลักประกันว่าจะมีระบบการผลิตอาหารที่ยั่งยืน เพื่อเพิ่มผลิตภาพและการผลิต พร้อมเพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวต่อทุกการเปลี่ยนแปลง

  • SDG 3 สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี การสร้างหลักประกันว่าคนมีชีวิตที่มีสุขภาพดีและส่งเสริมสวัสดิภาพสาหรับทุกคนในทุกวัย โดยเฉพาะ 3 ตัวชี้วัดฯ สำคัญได้แก่ 

(4) SDG 3.4 ลดการตายก่อนวัยอันควรจากโรคไม่ติดต่อให้ลดลงหนึ่งในสาม 

(5) SDG 3.6 ลดจำนวนการตายและบาดเจ็บจากอุบัติเหตุจากการจราจรทางถนนทั่วโลกลงครึ่งหนึ่ง 

(6) SDG 3.9 ลดจำนวนการตายและการเจ็บป่วยจากสารเคมีอันตรายและจากมลพิษ รวมถึงการปนเปื้อนทางอากาศ น้ำ และดิน ให้ลดลงอย่างมาก ภายในปี 2573

  • SDG 10 ลดความเหลื่อมล้ำ การลดความไม่เสมอภาคภายในและระหว่างประเทศ ที่ยังเผชิญ 1 ตัวชี้วัดย่อย คือ 

(7) SDG 10.c ลดค่าธรรมเนียมการส่งเงินกลับประเทศของแรงงานย้ายถิ่น (migrant remittance) ให้ต่ำกว่าร้อยละ 3 และขจัดการชำระเงินระหว่างประเทศที่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า ร้อยละ 5 ภายในปี 2573

  • SDG 14 นิเวศชายฝั่งและมหาสมุทร การเดินหน้าอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากมหาสมุทร ทะเล และทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน ที่ยังติดเงื่อนไขใน 2 ตัวชี้วัดย่อยอย่าง 

(8) SDG 14.1 ป้องกันและลดมลพิษทางทะเลทุกประเภทอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงเศษซากขยะในทะเลและมลพิษจากธาตุอาหาร ภายในปี 2568 

(9) SDG 14.5 อนุรักษ์พื้นที่ทางทะเลและชายฝั่งอย่างน้อยร้อยละ 10 ภายในปี 2563

ทั้งนี้ คณะวิทย์ฯ มธ. มีความเป็นห่วงว่า หากไทยไม่สามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ได้อาจจะส่งผลให้ไทยได้รับแรงกดดันจากมาตรการทางการค้าจากประชาคมโลก หรือถูกกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศได้ในอนาคต ซึ่งหากพิจารณาถึงภาพรวมแผนพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทย จะพบ 3 ตัวแปรสำคัญที่รั้งไทยห่างไกลมาตรฐาน แม้ว่าไทยจะอุดมไปด้วยแหล่งทรัพยากรในฐานะ ‘ครัวโลก’ รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์แขนงต่างๆ ดังนี้ 

  • รัฐขาดการวาง “กลยุทธ์แบบบูรณาการ” เพราะรัฐบาลถือเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการออกนโยบายและดำเนินกิจกรรมต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมากลับพบว่าทุกการดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมจากทั้งภาคเอกชนหรือภาคการศึกษานั้น ขาดการมอบอำนาจหรือมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น หน่วยงานท้องถิ่น เข้ามารับช่วงต่อในการขยายผลการดำเนินงานให้เกิดสัมฤทธิ์ผลที่เป็นรูปธรรม 
  • คุณภาพชีวิตประชากรใน “พื้นที่ชายขอบ” หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ไทยไม่สามารถบรรจุข้อกำหนดที่ 3 สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ที่มุ่งสร้างหลักประกันว่าคนมีชีวิตที่มีสุขภาพดีและส่งเสริมสวัสดิภาพสำหรับทุกคนในทุกวัย เนื่องจากประชากรในพื้นที่ชายขอบ ถือเป็นกลุ่มเปราะบางด้านสุขภาพ ด้วยข้อจำกัดด้านภูมิศาสตร์และการคมนาคมภายในพื้นที่ จึงเป็นผลให้เมื่อเกิดการเจ็บป่วยไม่สามารถเดินทางเพื่อการรักษาทางการแพทย์ หรือระบบสาธารณสุขที่ดีได้ 
  • ความเหลื่อมล้ำใน “บางบริบทของพื้นที่” ในที่นี่คือ ความสามารถในการเรียนรู้ของชุมชน ถือเป็นข้อจำกัดหนึ่งที่สร้างความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงและประยุกต์ใช้เครื่องมือ หรือนวัตกรรมที่ได้รับการถ่ายทอดจากภาคเอกชนและภาคการศึกษา เนื่องด้วยขั้นตอนการใช้งานที่ซับซ้อนและหลายขั้นตอน ทั้งยังขาดหน่วยงานหรือบุคลากรที่เชี่ยวชาญเข้ามาสอนใช้งานอย่างใกล้ชิด จึงเป็นเหตุให้ชุมชนไม่พร้อมต่อการเรียนรู้และเกิดความเหลื่อมล้ำของบางบริบทในท้ายที่สุด

  ดังนั้น คณะวิทย์ฯ มธ. โดยสาขาวิชาเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน จึงมีข้อเสนอแนะถึงภาครัฐ ถึง 3 แนวทางในการพาไทยก้าวข้ามทุกข้อจำกัดในการบรรลุเป้าหมาย SDGs เพื่อชิงความได้เปรียบด้านทรัพยากรของไทยภายใต้โมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (BCG Economy) และทรัพยากรบุคลากรที่มีศักยภาพสูง ดังนี้ 

  • วางกลยุทธ์ ‘ผลักดัน SDG ที่มีระบบ-ต่อเนื่อง’ ผ่านการบูรณาการความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ-เอกชน-การศึกษา-หน่วยงานท้องถิ่น ตลอดจนผู้นำชุมชนต่างๆ  สู่การหารือถึงปัญหาและวางแผนพัฒนาเพื่อความยั่งยืนที่มีระบบและต่อเนื่องในทุกมิติ เพื่อให้ชุมชนสามารถบริหารจัดการและพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน นอกจากนั้น ยังสามารถเรียนรู้และถอดบทเรียนจากประเทศที่บรรลุเป้าหมายได้สำเร็จอย่าง ‘ประเทศเนเธอร์แลนด์’ ที่สามารถใช้นวัตกรรมลดปัญหาภัยพิบัติน้ำ และต่อยอดนวัตกรรมดังกล่าวเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
  • อัดฉีดงบฯ ‘หนุนหน่วยงานที่มีศักยภาพ’ ผ่านการสนับสนุนงบประมาณหน่วยงานที่มีศักยภาพ ในการขับเคลื่อนกิจกรรมต่างๆ เพื่อยกระดับเศรษฐกิจฐานรากให้สามารถโตต่อได้อย่างยั่งยืน ผ่านการสร้างมูลค่าเพิ่มแก่วัตถุดิบทางการเกษตร หรือสินค้าชุมชนเพื่อจัดจำหน่ายในประเทศและเพื่อการส่งออก นอกจากนั้นยังควรกำหนดตัวชี้วัด และติดตามผลการดำเนินงานในรายไตรมาส และรายปี ว่า มีการดำเนินงานต่อเนื่องหรือไม่ หรือมีเป้าหมายใดที่อยู่ระหว่างการดำเนินการบ้าง 
  • ออกแผนส่งเสริม ‘ความรับผิดชอบร่วมกัน’ ผ่านการจัดแคมเปญรณรงค์เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของคนไทย เนื่องจากการบรรลุเป้าหมาย SDG มิสามารถขับเคลื่อนได้ด้วยหน่วยงานในภาคส่วนใดส่วนหนึ่ง อาทิ ภาคการศึกษา ด้วยสร้างแรงจูงใจที่ส่งเสริมให้นักวิจัย อาจารย์มหาวิทยาลัย ตลอดจนนักศึกษา ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ 3 แกนของ SDG นอกเหนือจากการพัฒนางานวิจัยในเชิงพาณิชย์ ภาคท้องถิ่น ในการสอดส่องคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของคนในชุมชน อันนำไปสู่การวางแนวทางแก้ไขปัญหาในอนาคต 

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา สาขาวิชาเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนายั่งยืน คณะวิทย์ มธ. ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนแผนการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อเป็นการอุดช่องโหว่ระหว่างทางของการพัฒนาในหลากมิติ อาทิ ใน SDG6 น้ำสะอาดและการสุขาภิบาล โดยส่งมอบ 3 นวัตกรรมและองค์ความรู้ที่ช่วยให้โรงเรียนบ้านแม่เงา ต.แม่สวด อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน สามารถเข้าถึงน้ำที่สะอาด-ปลอดภัย และพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน หลังพบปัญหาแหล่งน้ำเพื่ออุปโภค-บริโภคของชุมชนและภายในโรงเรียนไม่ได้มาตรฐาน และขาดการเข้าถึงระบบประปาที่มีคุณภาพ โดยสาขาวิชาฯ ได้ร่วมกับโครงการ SPHERE 9 ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณจากมูลนิธิตระกูลโก๊ะ (Goh Foundation) ประเทศสิงคโปร์ จัดทำ ‘ระบบกรองน้ำ’ เพื่อผลิตน้ำสะอาดและปลอดภัยสำหรับการอุปโภคบริโภค ปราศจากตะกอนและเชื้อแบคทีเรียที่เจือปนมากับแหล่งน้ำธรรมชาติอย่าง ‘โคลิฟอร์ม’ (Coliform) หรือ ‘อีโคไล’ (E.coli) มีการถ่ายทอดความรู้ ‘การตรวจวัดคุณภาพน้ำสะอาด’ เพื่อให้คนในชุมชนมั่นใจได้ว่าน้ำที่จะนำไปอุปโภคบริโภคมีความสะอาดและปลอดภัย นอกจากนี้ยังถ่ายทอด ‘นวัตกรรมเตาเผาถ่านคุณภาพสูง’ เพื่อส่งต่อองค์ความรู้อย่างง่ายในการเผาถ่านที่มีคุณภาพซึ่งนอกจากจะนำมาใช้เป็นวัสดุส่วนหนึ่งของระบบกรองน้ำแล้ว ยังสามารถผลิตถ่านเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในการหุงต้มอาหารได้ด้วย  และสามารถต่อยอดเพื่อสร้างอาชีพและสร้างรายได้แก่คนในชุมชนได้ 

สำหรับสาขาวิชาเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนายั่งยืน คณะวิทย์ มธ. มุ่งเน้นจัดการเรียนการสอนแบบ Area Based Learning ผ่านการหยิบยกโจทย์ปัญหาจากสถานการณ์หรือบริบททางสังคมที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้น มาถอดบทเรียนและวางแผนแก้ไขด้วยองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตลอดจนขยายผลการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมสู่หน่วยงานภายนอก อาทิ กรณีเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 6.0 ความลึก 10 กิโลเมตร ที่มีจุดศูนย์กลางอยู่นอกชายฝั่งทางตอนใต้ของประเทศเมียนมา ส่งผลต่อประเทศไทยในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะอาคารสูงในพื้นที่กรุงเทพมหานครและนนทบุรีสามารถรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้น ทางสาขาวิชาฯ ได้ทำการพัฒนาระบบตรวจวัดการสั่นสะเทือนของของอาคารและติดตั้งบนอาคารศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2 ซึ่งสามารถตรวจจับการสั่นสะเทือนเนื่องจากแผ่นดินไหวดังกล่าวได้อย่างชัดเจน แต่ระดับการสั่นสะเทือนอยู่ในเกณฑ์ต่ำและไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างอาคาร 

นอกจากนี้ระบบตรวจวัดการสั่นสะเทือนจะถูกนำไปติดตั้งบนอาคารที่มีความสำคัญในพื้นที่กรุงเทพมหานครเพิ่มเติมในอนาคต รวมถึงกรณีฝุ่น PM2.5 ที่มักพบปริมาณสูงในช่วงเดือนพฤศจิกายน-เดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี ทางสาขาวิชาฯ ได้พัฒนา ‘เซนเซอร์วัดฝุ่น’ และมอบหมายให้นักศึกษาลงพื้นที่ติดตั้งเซนเซอร์ฯ ในชุมชนที่เสี่ยงภัยฝุ่น ซึ่งนอกจากนักศึกษาจะได้เรียนรู้และปฏิบัติจริงด้วยตนเองแล้ว ยังได้ฝึกการสื่อสารกับชุมชน ภาคเอกชน ตลอดจนหน่วยงานภายนอกที่ต้องการความช่วยเหลือ

“อย่างไรก็ดี นอกเหนือจากหลักสูตรที่เปิดสอนในคณะแล้ว ทางสาขาวิชาเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนายั่งยืน คณะวิทย์ มธ. ยังได้สอดแทรกแนวทางการผลักดัน SDG ผ่านรายวิชาศึกษาทั่วไป หรือ GenEd (General Education Courses) ในชื่อ การพัฒนาที่ยั่งยืน (RT 366) เพื่อเป็นการเปิดกว้างทางการศึกษาสำหรับนักศึกษาต่างคณะ ที่มีความสนใจในประเด็นการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ตลอดจนสร้างพื้นที่ให้เกิดการแลกเปลี่ยนไอเดียจากคนรุ่นใหม่ ผ่านการทำ Mini-Project เพื่อเพิ่มโอกาสและทางเลือกใหม่ในการแก้ไข 9 ตัวชี้วัดย่อยที่ไทยยังไม่บรรลุเป้าหมายและก้าวสู่อันดับที่สูงขึ้นในอนาคต ซึ่งเรายังคงต้องติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด ควบคู่ไปกับการหล่อหลอมให้บัณฑิตมีองค์ความรู้ด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนที่รอบด้านและพร้อมเผชิญกับ SDG ที่มีความเข้นข้นขึ้นในอนาคต” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เยาวทัศน์ กล่าวทิ้งท้าย 

สำหรับผู้สนใจศึกษาต่อในสาขาวิชาเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนายั่งยืน คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (SCI-TU) สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://sci.tu.ac.th/ และ https://www.facebook.com/ScienceThammasat หรือสอบถามทางสาขาวิชาเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนายั่งยืนที่ https://sustain.sci.tu.ac.th/ และ https://www.facebook.com/sdt.sci.tu


Comments

No comments yet. Why don’t you start the discussion?

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *