
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวถึงปัญหาหนี้ครัวเรือน กำลังเป็นภัยเงียบที่เป็นปัญหาใหญ่ในระบบเศรษฐกิจ บั่นทอนศักยภาพการเติบโตและนำไปสู่ปัญหาสังคม คนไทย 1 ใน 3 (กว่า 22 ล้านคน) มีสัดส่วนหนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นับจากปี 2560-2565 โดยสัดส่วนหนี้ต่อครัวเรือนของคนไทยสูงกว่าประเทศในตลาดเกิดใหม่ในภูมิภาคเดียวกัน ทั้งมาเลเซีย อินโดนีเซีย และอินเดีย ข้อมูลของ Trading Economics ระบุว่า หนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของไทยติดอันดับ 7 ของโลก ธนาคารพาณิชย์เอกชน ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ สถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารจึงให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาหนี้อย่างยั่งยืนด้วยการกำหนดมาตรการการให้สินเชื่ออย่างเป็นธรรมและพยายามหาแนวทางช่วยลดปัญหาหนี้เรื้อรังในภาคครัวเรือน

ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ภายใต้บทบาทธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง หนึ่งในสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลังได้ตระหนักถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนและหนี้สินในภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่มีอัตราการเร่งตัวสูงนับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 จนถึงปัจจุบัน บั่นทอนให้เศรษฐกิจเติบโตต่ำกว่าศักยภาพและทำให้ SMEs ขาดเงินทุนหมุนเวียน จึงได้เริ่มนโยบาย “EXIM เพื่อการเงินในชุมชน” ขึ้น เพื่อให้ความรู้และคำปรึกษาด้านการเงินและแนะนำการทำบัญชีครัวเรือนให้ชุมชน รวมทั้งสร้างความเข้มแข็งให้วิสาหกิจชุมชนที่เข้าร่วมโครงการ ให้ได้รับความรู้ความเข้าใจในการดำเนินธุรกิจเพื่อการส่งออกและนำเข้า แนวคิดด้านการสืบสานธุรกิจให้เดินต่อไปได้ เติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้โมเดลธุรกิจระหว่างประเทศรูปแบบใหม่ ๆ ที่ต่อยอดจากแต้มต่อทางธุรกิจเดิมที่มีเพื่อสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ EXIM BANK ยังริเริ่มโครงการ “คลินิก EXIM เพื่อคนตัวเล็ก” ตรวจสุขภาพทางการเงิน ให้คำปรึกษาทางธุรกิจอย่างครบวงจร อาทิ การปรับแผนธุรกิจ การบริหารจัดการทางการเงิน และการให้คำปรึกษาด้านการปรับโครงสร้างหนี้ แก้ไขหนี้เสีย และเติมเงินทุนเพื่อช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการกลุ่มเปราะบางให้สามารถชำระหนี้ต่อไปได้ตามความสามารถและเข้าถึงสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องและฟื้นฟูธุรกิจให้สามารถเริ่มต้นหรือขยายธุรกิจส่งออกได้
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยว่า ทั้ง 2 โครงการเป็นกิจกรรมเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เป็น CSR ในกระบวนการทำงาน (CSR in process) และนอกกระบวนการปฏิบัติงาน (CSR after process) ซึ่งธนาคารได้ดำเนินการต่อเนื่อง เริ่มต้นจากชุมชนกลุ่มเปราะบางในเขตพญาไทและขยายผลสู่สังคมมากยิ่งขึ้น โดยความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา ดำเนินโครงการสัญจรไปยังจังหวัดต่าง ๆ ในปี 2566 EXIM BANK ร่วมกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ลงพื้นที่ชุมชนห้วยน้ำเพี้ย บ.เชตวัน ต.สันทะ อ.นาน้อย จ.น่าน ทำโครงการ “ชุมชนเข้มแข็ง ความเป็นอยู่ยั่งยืน” ให้ความรู้เรื่องการแก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือนกับชาวบ้าน ให้คำปรึกษาด้านธุรกิจและสร้างงานสร้างอาชีพให้ชาวบ้านมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK ได้ให้ความรู้และแลกเปลี่ยนความเห็นเรื่องหนี้ครัวเรือนกับชาวบ้าน ต.สันทะ จำนวนกว่า 50 คน โดยแนะนำว่า ครัวเรือนไม่ควรมีหนี้เกิน 70% ของรายได้ทั้งหมด เช่น หากมีรายได้เดือนละ 10,000 บาท ไม่ควรมีหนี้เกิน 7,000 บาท
“ตัวอย่างคือ ถ้าหากมีรายได้เดือนละ 10,000 บาท แต่มีหนี้ 100,000 บาท ต้องจ่ายเดือนละ 15,000 บาท จึงจะชำระหนี้หมดภายใน 10 ปี ปัจจุบันเกษตรกรไทย 60% มีหนี้ครัวเรือนเฉลี่ย 500,000 บาท หากทิ้งหนี้จำนวนนี้ไว้ 5 ปี ไม่ชำระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย หนี้จะพุ่งสูงขึ้นเป็น 1,200,000 บาท ในขณะที่ครัวเรือนเกษตรกรมีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 6,000 บาท แต่หนี้จำนวน 500,000 บาท หากจะให้ชำระหมดใน 5 ปีจะต้องใช้เงินต้นและดอกเบี้ยเดือนละ 20,000 บาท จึงจะใช้ได้หมดตามกำหนดเวลา รายได้เดือนละ 6,000 บาท แต่ต้องจ่ายหนี้เดือนละ 20,000 บาท มันเป็นไปได้ยาก” ดร.รักษ์ กล่าว