Exclusive Interview: ก้าวสู่สหกรณ์เข้มแข็ง ภายใต้กรอบนโยบาย DRIVE สู่เกษตรกรที่ยั่งยืน


โดย นายนิรันดร์ มูลธิดา อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

นายนิรันดร์ มูลธิดา
อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์

“วิสัยทัศน์ของเราคือ ‘สหกรณ์มั่นคง สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรเข้มแข็ง เศรษฐกิจและสังคมของชุมชนยั่งยืน’ ซึ่งหมายความว่า สหกรณ์ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือทางการเงิน แต่เป็นกลไกสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนเกษตรกรรม และขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เติบโตแบบยั่งยืน” นายนิรันดร์ มูลธิดา อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวถึงวิสัยทัศน์ของกรมส่งเสริมสหกรณ์

ตลาดนำ – นวัตกรรมเสริม – เพิ่มรายได้ให้สมาชิกสหกรณ์

เมื่อถามถึงกรอบนโยบายที่ขับเคลื่อนในปีปัจจุบัน อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์อธิบายว่า “เราเน้น 3 แกนหลักคือ ตลาดนำ – นวัตกรรมเสริม – เพิ่มรายได้ให้สมาชิกสหกรณ์” โดยในรูปแบบปฏิบัติจริงนี้ กรมได้สนับสนุนให้สหกรณ์เปลี่ยนบทบาทเป็น “ผู้ประกอบการธุรกิจเกษตรในชุมชนแบบครบวงจร” ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจรวบรวมผลผลิต ธุรกิจแปรรูป หรือธุรกิจบริการสมาชิกอย่างครบถ้วน โดยปัจจุบัน ประเทศไทยมีสหกรณ์อยู่ในระบบมากกว่า 6,000 แห่ง เป็นสหกรณ์ทั้งในภาคการเกษตรและนอกภาคการเกษตร โดยมีสหกรณ์การเกษตรกว่า 3,779 แห่ง อยู่ภายใต้ภารกิจส่งเสริมโดยตรงของกรมฯ ซึ่งเป็นจำนวนที่สะท้อนถึงขอบเขตความรับผิดชอบและความสำคัญของสหกรณ์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมชนบทไทยอย่างชัดเจน

ในส่วนของการดำเนินงานปัจจุบัน อธิบดีได้เน้นย้ำว่า “หนึ่งในโครงการสำคัญคือการเพิ่มศักยภาพของสหกรณ์ให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโดยใช้เทคโนโลยีและดิจิทัลเป็นเครื่องมือ” นอกจากนี้ กองทุนพัฒนาสหกรณ์ (กพส.) ได้วางกรอบเงินกู้ในปี งบประมาณ 2569 ไว้ถึง 5,100 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนทั้งโครงการปกติและโครงการพิเศษตามนโยบายรัฐบาล

สหกรณ์ยุคใหม่: เทคโนโลยีและข้อมูลคือหัวใจสำคัญ

อธิบดีฯนิรันดร์เน้นว่า สหกรณ์ยุคใหม่จำเป็นต้องก้าวพ้นบทบาทแบบเดิม และต้องขับเคลื่อนด้วยข้อมูลเป็นสำคัญ โดยเฉพาะข้อมูลด้านผลผลิต ต้นทุนการผลิต และราคาตลาด ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่ช่วยให้สหกรณ์สามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำและทันต่อสถานการณ์ ทั้งยังช่วยให้การบริหารจัดการเป็นไปอย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เขากล่าวว่า “สหกรณ์ที่มีข้อมูลพร้อม จะสามารถช่วยสมาชิกได้อย่างแท้จริง ทั้งในเรื่องการผลิต การตลาด และการบริหารความเสี่ยงด้านราคา”

ในช่วงปีที่ผ่านมา กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้เร่งผลักดันให้สหกรณ์นำเทคโนโลยีและระบบดิจิทัลเข้ามาใช้ในการดำเนินงานมากขึ้น เช่น ระบบรวบรวมผลผลิตออนไลน์ที่ช่วยให้สหกรณ์สามารถบันทึกและตรวจสอบปริมาณผลผลิตได้แบบเรียลไทม์ ตลอดจนระบบบริหารจัดการสินเชื่อสหกรณ์ที่ปรับเป็นรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดเพื่อลดภาระงานด้านเอกสารและเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล นอกจากนี้ยังได้พัฒนาเครื่องมือวิเคราะห์ตลาดสำหรับสินค้าหลักในแต่ละจังหวัด เพื่อช่วยให้สหกรณ์วางแผนการผลิตและการขายได้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด

หนึ่งในตัวอย่างความสำเร็จ คือ สหกรณ์การเกษตรเกษตรวิสัย จำกัด จังหวัดร้อยเอ็ด ที่มองเห็นโอกาสสร้างธุรกิจในพื้นที่จากการเป็นแหล่งเพาะปลูกข้าวสำคัญ และได้รับการสนับสนุนเงินทุนอัตราดอกเบี้ยต่ำ จากกองทุนพัฒนาสหกรณ์ ในการทำธุรกิจข้าวครบวงจร และบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชน การสำรวจพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมดในอำเภอและพื้นที่สมาชิก การให้ความรู้เกษตรกร มีการนำข้อมูลย้อนหลัง 3 ปี และปัจจุบันมาวิเคราะห์เพื่อวางแผนการตลาดข้าวเปลือกและข้าวสาร การวางแผนรวบรวมข้าวเปลือก เตรียมความพร้อม 4 M ได้แก่ คน เงิน ปัจจัยการผลิต และแนวทางการดำเนินงานที่ชัดเจน ทำให้สามารถรวบรวมผลผลิตข้าวได้มากกว่า 60,000 ตันในปีที่ผ่านมา ซึ่งการดำเนินงานที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลทำให้สหกรณ์สามารถวิเคราะห์สถานการณ์และกำหนดช่วงเวลาการขายที่เหมาะสม ส่งผลให้เกษตรกรมีอำนาจต่อรองเพิ่มขึ้น และสามารถจำหน่ายผลผลิตในราคาที่ดีกว่าการขายแบบกระจัดกระจายตามปกติ นับเป็นภาพสะท้อนชัดเจนว่าการใช้ข้อมูลอย่างเป็นระบบสามารถสร้างประโยชน์ให้กับสมาชิกสหกรณ์ได้อย่างแท้จริง ขณะที่สหกรณ์เองก็มีความเข้มแข็งและโปร่งใสมากขึ้นในบทบาทผู้บริหารจัดการสินค้าเกษตรของชุมชน

การพัฒนาอย่างยั่งยืน: ESG ต้องเริ่มในระดับชุมชน

นายนิรันดร์ กล่าวเสริมต่อไปว่า การพัฒนาสหกรณ์ต้องคำนึงถึงความยั่งยืนทุกมิติ “เราไม่เน้นเฉพาะกำไร แต่ต้องทำให้สมาชิกมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ระบบบริหารต้องโปร่งใส และมีธรรมาภิบาล” โดยกรมฯ จึงผลักดันให้สหกรณ์ดำเนินงานสอดคล้องกับหลัก ESG ได้แก่

  • Environment (E): การผลิตที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมเกษตรอินทรีย์และเกษตรอัจฉริยะ
  • Social (S): ยกระดับความเป็นอยู่ของเกษตรกร สนับสนุนบทบาทสตรี เยาวชน และกลุ่มเปราะบาง
  • Governance (G): พัฒนาระบบตรวจสอบ โปร่งใส และธรรมาภิบาล

กรมส่งเสริมสหกรณ์ ขานรับนโยบาย กระทรวงเกษตรฯ แนวนโยบายปี 2569–2570 เพื่อยกระดับสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรให้เข้มแข็ง โดยเน้นการพัฒนาไปพร้อมกับการกำกับดูแลตามหลักธรรมาภิบาล และนำเทคโนโลยีกับนวัตกรรมมาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน กรอบนโยบาย D-R-I-V-E ครอบคลุมการพัฒนาศักยภาพและมาตรฐานของสหกรณ์ การกำกับข้อมูลและระบบตรวจสอบที่โปร่งใส การใช้ดิจิทัลแก้ปัญหาและเพิ่มคุณภาพบริการ การสร้างมูลค่าให้สินค้าเกษตร รวมถึงการพัฒนาทักษะบุคลากรให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป้าหมายสำคัญคือการทำให้สหกรณ์ไทยแข็งแรง ทันสมัย และเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
สหกรณ์ต้องเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาในชุมชน

“สหกรณ์จะไม่ใช่แค่ผู้รวบรวมผลผลิตอีกต่อไป แต่ต้องเป็นศูนย์กลางการพัฒนาในชุมชน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม นวัตกรรม และสิ่งแวดล้อม เป้าหมายของเราชัดเจน คือ สร้างสหกรณ์ให้เข้มแข็ง พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต และเป็นความหวังของเกษตรกรไทยอย่างแท้จริง” อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวทิ้งท้าย


Comments

No comments yet. Why don’t you start the discussion?

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *