
มติ ครม. เห็นชอบนโยบาย หนุนคนไทย ใช้รถไฟฟ้า EV รัฐช่วยจ่ายให้ คันละ 70,000 – 150,000 บาท ขับเคลื่อนประเทศไทย มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ด้วยแนวคิด #เศรษฐกิจสีเขียว
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ได้มีมติเห็นชอบ มาตรการสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ตามที่คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติได้นำเสนอเข้ ามา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในไทย 3 ประเภท ได้แก่ รถยนต์ไฟฟ้า, รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า และรถกระบะไฟฟ้า ครับ
โดยมาตรการนี้ จะมีผลบังคับใช้ ในเดือนพฤษภาคมที่จะถึง หลังจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ออกกฎหมายและทำสัญญากับค่ายรถที่เข้าร่วม รายละเอียด ดังนี้
- สนับสนุนเงินอุดหนุน รถยนต์และรถกระบะไฟฟ้า คันละ 70,000 – 150,000 บาท/คัน
- สนับสนุนเงินอุดหนุน รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า 18,000 บาท/คัน
- ลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์ จาก 8% เหลือ 2% และรถกระบะเหลือ 0%
- ยกเว้นอากรนำเข้ารถยนต์ที่ประกอบในประเทศ (ชิ้นส่วนนำเข้าจากต่างประเทศ) จำนวน 9 รายการ
- ลดอากรนำเข้ารถยนต์ที่ผลิตจากต่างประเทศ และนำเข้าทั้งคัน สูงสุด 40% สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่สำเร็จรูป (CBU) ประกอบสำเร็จรูปนำเข้าทั้งคัน ที่ได้รับสิทธิพิเศษทางอากรศุลกากรภายใต้ความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) และการนำเข้าทั่วไป ในปี 2565 – 2566 ดังนี้
• ราคาขายปลีกแนะนำ ไม่เกิน 2 ล้านบาท กรณีใช้สิทธิ FTA อากรไม่เกิน 40% ให้ยกเว้นอากร/ ใช้สิทธิ FTA อากรเกิน 40% ให้ลดลงอีก 40% สำหรับกรณีนำเข้าทั่วไป อากร 80% ให้ลดลงเหลือ 40%
• ราคาขายปลีกตั้งแต่ 2-7 ล้านบาท กรณีใช้สิทธิ FTA อากรไม่เกิน 20% ให้ยกเว้นอากร/ ใช้สิทธิ FTA อากรเกิน 20% ให้ลดลงอีก 20% สำหรับอัตราอากรนำเข้าทั่วไปให้ลดลงเหลือ 60%
โดยมาตรการสนับสนุนแพ็กเกจรถยนต์ EV จะแบ่งออกเป็น 2 ช่วงหลักๆ ได้แก่
- ช่วง 2 ปีแรก (ปี 2565 – 2566) จะเน้นการสร้างแรงจูงใจของประชาชนให้เกิดการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศอย่างรวดเร็ว ครอบคลุมทั้งการนำเข้ารถยนต์ และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูปทั้งคัน
- และอีก 2 ปีถัดไป (ปี 2567 – 2568) จะมุ่งเน้นให้ความสำคัญ กับการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศเป็นหลักครับ
การสนับสนุน ให้เกิดการเปลี่ยนมาใช้ยานพาหนะพลังงานสะอาด ถือเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการขับเคลื่อนประเทศด้วยแนวคิดเศรษฐกิจสีเขียว ที่ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อม เดินหน้าประเทศไทยสู่ความเป็น Net Zero Emission เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดจากภาวะโลกร้อน

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ได้มีมติเห็นชอบ มาตรการสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ตามที่คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติได้นำเสนอเข้ ามา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในไทย 3 ประเภท ได้แก่ รถยนต์ไฟฟ้า, รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า และรถกระบะไฟฟ้า ครับ
โดยมาตรการนี้ จะมีผลบังคับใช้ ในเดือนพฤษภาคมที่จะถึง หลังจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ออกกฎหมายและทำสัญญากับค่ายรถที่เข้าร่วม รายละเอียด ดังนี้
- สนับสนุนเงินอุดหนุน รถยนต์และรถกระบะไฟฟ้า คันละ 70,000 – 150,000 บาท/คัน
- สนับสนุนเงินอุดหนุน รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า 18,000 บาท/คัน
- ลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์ จาก 8% เหลือ 2% และรถกระบะเหลือ 0%
- ยกเว้นอากรนำเข้ารถยนต์ที่ประกอบในประเทศ (ชิ้นส่วนนำเข้าจากต่างประเทศ) จำนวน 9 รายการ
- ลดอากรนำเข้ารถยนต์ที่ผลิตจากต่างประเทศ และนำเข้าทั้งคัน สูงสุด 40% สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่สำเร็จรูป (CBU) ประกอบสำเร็จรูปนำเข้าทั้งคัน ที่ได้รับสิทธิพิเศษทางอากรศุลกากรภายใต้ความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) และการนำเข้าทั่วไป ในปี 2565 – 2566 ดังนี้
• ราคาขายปลีกแนะนำ ไม่เกิน 2 ล้านบาท กรณีใช้สิทธิ FTA อากรไม่เกิน 40% ให้ยกเว้นอากร/ ใช้สิทธิ FTA อากรเกิน 40% ให้ลดลงอีก 40% สำหรับกรณีนำเข้าทั่วไป อากร 80% ให้ลดลงเหลือ 40%
• ราคาขายปลีกตั้งแต่ 2-7 ล้านบาท กรณีใช้สิทธิ FTA อากรไม่เกิน 20% ให้ยกเว้นอากร/ ใช้สิทธิ FTA อากรเกิน 20% ให้ลดลงอีก 20% สำหรับอัตราอากรนำเข้าทั่วไปให้ลดลงเหลือ 60%
โดยมาตรการสนับสนุนแพ็กเกจรถยนต์ EV จะแบ่งออกเป็น 2 ช่วงหลักๆ ได้แก่
- ช่วง 2 ปีแรก (ปี 2565 – 2566) จะเน้นการสร้างแรงจูงใจของประชาชนให้เกิดการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศอย่างรวดเร็ว ครอบคลุมทั้งการนำเข้ารถยนต์ และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูปทั้งคัน
- และอีก 2 ปีถัดไป (ปี 2567 – 2568) จะมุ่งเน้นให้ความสำคัญ กับการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศเป็นหลักครับ
การสนับสนุน ให้เกิดการเปลี่ยนมาใช้ยานพาหนะพลังงานสะอาด ถือเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการขับเคลื่อนประเทศด้วยแนวคิดเศรษฐกิจสีเขียว ที่ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อม เดินหน้าประเทศไทยสู่ความเป็น Net Zero Emission เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดจากภาวะโลกร้อน