PM2.5 ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ไม่สิ้นสุดโดย ดร. วิจารย์ สิมาฉายาผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย


ฝุ่น PM 2.5 หรือฝุ่นจิ๋ว ที่ก่อผลกระทบไม่จิ๋วเหมือนชื่อเลย ส่วนใหญ่มักเกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ เช่น การเผาไหม้จากเครื่องยนต์ดีเซลจากการคมนาคมขนส่ง โรงงานอุตสาหกรรม การเผาไหม้ในที่โล่งในพื้นที่ป่าหรือพื้นที่การเกษตร ประกอบกับในฤดูหนาวอุณหภูมิที่พื้นดินมักเย็นกว่าชั้นบรรยากาศด้านบน ทำให้ชั้นบรรยากาศเป็นแนวผกผัน (Inversion Layer ) จึงเปรียบเหมือนโดมครอบพื้นที่ไว้ ทำให้ฝุ่นละอองสะสมและไม่สามารถลอยตัวหรือกระจายขึ้นสูงด้านบนได้ และสะสมจนกลายเป็นฝุ่นควันฟุ้งกระจายทั่วพื้นที่ 

ฝุ่นละออง PM 2.5 จะส่งผลกระทบต่อร่างกายมนุษย์ได้อย่างมากมาย ซึ่งสามารถเล็ดลอดเข้าจมูกไปสู่เส้นเลือดฝอยและกระจายไปตามอวัยวะได้ โดยผลกระทบเบื้องต้นคือเกิดการระคายเคืองต่อดวงตา แสบจมูก และส่งผลให้ผิวพรรณบริเวณใบหน้าเกิดริ้วรอย จุดด่างดำ เหี่ยวย่นง่าย และถ้าฝุ่นละอองสะสมอยู่ในอวัยวะเป็นเวลานานจะก่อให้เกิดความเสี่ยงของโรคมะเร็งปอด โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหอบหืดได้ ในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2566 มีการประเมินผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 ทำให้อัตราการเจ็บป่วยจากโรคทางเดินหายใน สูงกว่า 1.7 ล้านคน และนักท่องเที่ยวยกเลิกการเดินทางไปภาคเหนือ ทัศนวิสัยไม่ดี ทำให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจหลายพันล้านบาท โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ที่มีจุดความร้อนที่เกิดการไหม้ไฟทั้งในพื้นที่ป่าไม้และพื้นที่เกษตรทั้งที่เกิดในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านในวงกว้าง โดยค่าฝุ่น PM2.5 มีค่ามากกว่า 500 หน่วย หรือเกินค่ามาตรฐานกว่า 10 เท่าในหลายพื้นที่ โดยเชียงใหม่ ได้ถูกจัดให้เป็นเมืองที่มีคุณภาพอากาศเสื่อมโทรมที่สุดในโลกในหลายๆวัน ที่จะส่งผลกระทบระยะยาวได้

รัฐได้เสนอมาตรการที่สำคัญ 3 มาตรการ คือ การเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ การป้องกันและลดการเกิดมลพิษที่แหล่งกำเนิด และการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการมลพิษ รวมทั้งแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 จะต้องนำแผนดังกล่าว จะนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเข้มงวดและจริงจัง รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการและการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มข้น ควบคู่ไปกับมาตรการส่งเสริมสร้างแรงจูงใจภาคเกษตรที่ปลอดการเผา การนำเศษวัสดุทางการเกษตรไปใช้ประโยชน์และสร้างรายได้ให้ชุมชน โดยในฤดูไฟป่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ต้องมีการติดตามเฝ้าระวังและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อปรับแผนและการปฏิบัติให้สอดคล้องและทันกับสถานการณ์ เพื่อลดผลกระทบด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการดำเนินชีวิตประจำวันของประชาชนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยให้ความสำคัญของความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายในระดับพื้นที่ สำหรับเรื่องการแก้ไขปัญหามลพิษหมอกควันข้ามแดน แม้จะมีข้อตกลงอาเซียนแล้ว แต่ไม่สามารถใช้บังคับได้ จึงควรจะมีการพิจารณากฎหมายคล้ายๆกับสิงคโปร์ในการควบคุมนักลงทุนไทยในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ลาดชันสูง ที่เป็นต้นเหตุสำคัญในการเกิดฝุ่น PM2.5


Comments

No comments yet. Why don’t you start the discussion?

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *