แอสโทรเนอร์จี เปิดตัวโมดูล แอสโทร เอ็น7 รุ่นแผ่นเวเฟอร์ใหญ่ขึ้น ช่วยลดต้นทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์


A poster showcases the ASTRO N7 66-cell product with rectangular silicon wafers.

แอสโทรเนอร์จี (Astronergy) ผู้บุกเบิกโมดูลเซลล์แสงอาทิตย์ท็อปคอน (TOPCon) ชนิดเอ็นไทป์ (n-type) ประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มโมดูลท็อปคอนซีรีส์ แอสโทร เอ็น7 (ASTRO N7) นั่นคือ รุ่นเซลล์สี่เหลี่ยมผืนผ้า 66 เซลล์ ซึ่งพร้อมที่จะผลิตในปริมาณมาก นับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกอันยอดเยี่ยมที่จะช่วยให้ลูกค้ามีต้นทุนลดลงและมีกำไรมากขึ้น

โมดูลท็อปคอนแบบ 66 เซลล์ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดในซีรีส์ แอสโทร เอ็น7 ยังคงผลิตโดยใช้เทคโนโลยีเซลล์ท็อปคอน 3.0 (TOPCon 3.0) และเทคโนโลยีเอสเอ็มบีบี (SMBB) ขั้นสูงที่แอสโทรเนอร์จีพัฒนาขึ้นเอง ซึ่งช่วยให้เซลล์มีประสิทธิภาพโดยเฉลี่ยมากกว่า 25.7%

จุดเด่นอย่างหนึ่งที่ทำให้ผลิตภัณฑ์นี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวก็คือ แผ่นเวเฟอร์ซิลิคอนสี่เหลี่ยมผืนผ้าชนิดเอ็นไทป์ขนาด 210 มม.ที่ใช้ในผลิตภัณฑ์นี้ โดยเมื่อเปรียบเทียบกับเวเฟอร์ M10 ทั่วไปในท้องตลาดแล้ว พบว่าพื้นที่ของเวเฟอร์ 182*210 มม. เพิ่มขึ้นกว่า 15.6% จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเซลล์และโมดูล รวมถึงลดต้นทุนต่อวัตต์ได้

เมื่อพิจารณาจากขนาดโมดูลตามมาตรฐานที่ก่อนหน้านี้กำหนดโดยแอสโทรเนอร์จีและบริษัทชั้นนำอีกหลายแห่งในอุตสาหกรรมเซลล์แสงอาทิตย์ คาดว่าเซลล์สี่เหลี่ยมผืนผ้า 66 เซลล์จะทำให้โมดูลแอสโทร เอ็น7 รุ่น 66 เซลล์ มีกำลังมากกว่า 615 วัตต์ และประสิทธิภาพการแปลงพลังงานมากกว่า 22.8% ซึ่งเป็นระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรมทั้งคู่

สำหรับลูกค้าที่เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ระดับสาธารณูปโภคนั้น โมดูลแอสโทร เอ็น7 รุ่น 66 เซลล์ มีต้นทุนอุปกรณ์ประกอบระบบ (BOS) ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับโมดูลเวเฟอร์สี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาด 182 มม. ขณะที่คุณสมบัติแรงดันไฟฟ้าต่ำยังเอื้อต่อการออกแบบระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยเช่นกัน

ด้วยความมุ่งมั่นในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ชั้นเยี่ยมให้แก่ลูกค้าทั่วโลก โมดูลรุ่น 66 เซลล์จึงใช้กระจกที่มีอัตราการส่องผ่านของแสงในระดับสูง เช่นเดียวกับโมดูลแอสโทร เอ็น7 รุ่นอื่น ๆ ซึ่งสามารถเพิ่มอัตราการส่องผ่านของแสงได้ 0.3% เพื่อปรับปรุงสมรรถนะของโมดูล นอกจากนั้นยังเพิ่มประสิทธิภาพการแยกไอน้ำ และเพิ่มความทนทานต่อสภาวะแวดล้อมของผลิตภัณฑ์อีกด้วย

โมดูลรุ่น 66 เซลล์ยังมาพร้อมคุณสมบัติอีกมากมาย เช่น ฟิล์มเปลี่ยนทิศทางแสง, ค่าสัมประสิทธิ์อุณหภูมิ -0.29% ต่อองศาเซลเซียส, ความสามารถในการต้านทานการเสื่อมสภาพที่เกิดจากแสง (LID) และการเสื่อมสภาพที่เกิดจากแสงและอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง (LeTID) ระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรม, การแผ่รังสีต่ำ และประสิทธิภาพเชิงกลที่ยอดเยี่ยม จึงรับประกันการผลิตไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลาอย่างน้อย 30 ปี ด้วยอัตราการเสื่อมสภาพเพียง 0.4% ต่อปี (ระหว่างปีที่ 2 ถึงปีที่ 30)

ในฐานะซัพพลายเออร์โมดูลเซลล์แสงอาทิตย์ที่มียอดส่งมอบทั่วโลกติดอันดับท็อป 6 ของโลก แอสโทรเนอร์จีได้ทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนเทคโนโลยีและเป็นผู้รู้ลึกรู้จริงในตลาด บริษัทจะเดินหน้าเจาะลึกและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทั่วโลกต่อไป


Comments

No comments yet. Why don’t you start the discussion?

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *