โดย : ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการและอดีตประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บมจ.การบินไทย หรือ THAI

กรรมการและอดีตประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บมจ.การบินไทย หรือ THAI
“เราผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายที่สุดในประวัติศาสตร์ขององค์กรมาได้ ด้วยความมุ่งมั่น ความเสียสละ และความร่วมมือของพนักงานทุกคน วันนี้ การบินไทยไม่ใช่แค่กลับมายืนได้อีกครั้ง แต่พร้อมจะทะยานขึ้นสู่อนาคตด้วยศักยภาพที่แข็งแกร่งและหัวใจที่ไม่ยอมแพ้” ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการและอดีตประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บมจ.การบินไทย หรือ THAI เผยด้วยน้ำเสียงที่มุ่งมั่น
จากแผนฟื้นฟูสู่การฟื้นตัว

ดร.ปิยสวัสดิ์ เผยต่อไปว่าในปี 2563 การบินไทยเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการอย่างเป็นทางการ ภายหลังประสบปัญหาทางการเงินและภาวะซ้ำเติมจากวิกฤตโควิด-19 ซึ่งส่งผลต่ออุตสาหกรรมการบินทั่วโลก คณะรัฐมนตรีมีมติให้ลดสัดส่วนการถือหุ้นของกระทรวงการคลัง เพื่อให้การบินไทยพ้นจากสถานะรัฐวิสาหกิจ และสามารถเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูตามคำสั่งศาลล้มละลายกลาง เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2563 หลังจากนั้นเป็นเวลากว่า 5 ปี การบินไทยได้ดำเนินการตามแผนอย่างเข้มข้น ทั้งการลดค่าใช้จ่าย ปรับโครงสร้างองค์กร และสร้างรายได้ จนสามารถฟื้นคืนสู่สถานะองค์กรที่มีกำไรและมีศักยภาพในการแข่งขันระดับโลกอีกครั้ง
การพ้นจากแผนฟื้นฟูฯ ไม่ได้เป็นเพียงจุดสิ้นสุดของกระบวนการกฎหมาย แต่สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ฟื้นคืนจากผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมด ทั้งผู้ถือหุ้น เจ้าหนี้ พนักงาน และประชาชน เป็นหลักฐานว่าการบินไทยในวันนี้มีโครงสร้างการบริหารจัดการที่เป็นมืออาชีพ โปร่งใส
ความท้าทายที่สำคัญ และบทเรียนจากวิกฤต
ช่วงเวลาแห่งความท้าทายที่สุดคือ การรักษาความเชื่อมั่นท่ามกลางความไม่แน่นอน โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 เราได้เรียนรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน ต้องมาจากความร่วมแรงร่วมใจของบุคลากรภายในองค์กรเอง พนักงานของเราคือผู้ขับเคลื่อนแผนอย่างแท้จริง ขณะที่คณะผู้บริหารแผนมีบทบาทในการกำกับทิศทางและให้คำแนะนำ

การขยายเส้นทางบินและฐานปฏิบัติการในอนาคต – การลงทุนในฝูงบินและเทคโนโลยี
“การบินไทยมีแผนศึกษาการเพิ่มเส้นทางบินใหม่ และการเปิดฐานปฏิบัติการในภูมิภาค เพื่อเพิ่มขนาดฝูงบินจากเดิมที่มีอยู่ 77 ลำ ให้เพิ่มขึ้นเป็น 150 ลำ ภายในระยะเวลา 8 ปี เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการบิน เพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการ และเสริมศักยภาพการแข่งขันในตลาดระดับภูมิภาคและระดับโลก โดยแผนการจัดหาเครื่องบินใหม่นี้จะพิจารณาควบคู่ไปกับการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การลดต้นทุนด้านการดำเนินงาน และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญคือรองรับความต้องการของตลาดที่ฟื้นตัว และขยายโอกาสทางธุรกิจในเอเชีย ซึ่งสอดคล้องกับแผนฟื้นฟูที่มุ่งเน้นการสร้างรายได้อย่างยั่งยืน เรากำลังวางแผนลงทุนในฝูงบินใหม่ เพื่อเสริมศักยภาพด้านบริการควบคู่กับการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ลดต้นทุน และยกระดับประสบการณ์ลูกค้า” ดร.ปิยสวัสดิ์ ขยายความ
แผนการกลับเข้าตลาดหลักทรัพย์ (SET)

ภายหลังการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเมื่อ 18 เมษายน 2568 ที่มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการใหม่ และจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงแล้ว การบินไทยได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอออกจากแผนฯ เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2568 ซึ่งศาลมีคำสั่งยุติการฟื้นฟูในวันที่ 16 มิถุนายน 2568 และการบินไทยจะสามารถกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ โดยจะมีกลยุทธ์ในการสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน โดยเน้นการสื่อสารอย่างโปร่งใสถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจริง
เป้าหมาย Net Zero และความยั่งยืน
ดร.ปิยสวัสดิ์ ขยายความต่อไปว่า เราไม่เพียงแค่ฟื้นฟูทางธุรกิจ แต่ยังมุ่งสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม โดยวางเป้าหมายลดคาร์บอนฟุตพรินต์อย่างต่อเนื่อง และมุ่งสู่ Net Zero ภายในปี 2050 ซึ่งเป็นเป้าหมายของ IATA (The International Air Transport Association หรือ สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ ) ด้วย พร้อมทั้งส่งเสริมแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนตลอดห่วงโซ่คุณค่า
“การบินไทยวันนี้ไม่ใช่องค์กรแบบเดิม แต่คือสายการบินที่ปรับโครงสร้างอย่างแข็งแรง มุ่งมั่นในการสร้างผลกำไรควบคู่กับการพัฒนาที่ยั่งยืน ด้วยพลังของบุคลากรและการบริหารจัดการที่โปร่งใส เราพร้อมแล้วที่จะก้าวไปข้างหน้า และไม่หวนกลับสู่ปัญหาเดิมอีกต่อไป” ดร.ปิยสวัสดิ์ กล่าวทิ้งท้าย



