เรียบเรียงโดย ดร.วิจารย์ สิมาฉายา
ในยุคที่ชีวิตเร่งรีบ ศูนย์อาหารตามสถานที่ต่างๆ ได้กลายเป็นแหล่งฝากท้องที่มอบความสะดวกสบายให้แก่ผู้คนนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นในอาคารสำนักงาน โรงพยาบาล หรือแหล่งชุมชน ท่ามกลางความสะดวกสบายนี้ มีสิ่งหนึ่งที่เติบโตอย่างเงียบๆ นั่นคือขยะอาหาร (Food Waste) ที่เกิดขึ้นตลอดทั้งวัน และกลายเป็นปัญหาใหญ่ระดับประเทศ
สถานการณ์ขยะเศษอาหารของโลกทำให้สูญเสียทรัพยากรและก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกมากกว่า 3% ของเหลืออื่นๆ และสำหรับประเทศไทยนั้นน่าเป็นห่วงไม่น้อย โดยครองอันดับ 1 ของปริมาณขยะทั้งหมด ด้วยปริมาณสูงถึง 10 ล้านตันต่อปี โดยในจำนวนนี้กว่า 40% เป็นอาหารที่ยังรับประทานได้ แต่ยังขาดการบริหารจัดการก่อนที่จะหมดอายุกลายเป็นขยะอาหาร สำหรับขยะจากศูนย์อาหารที่เราคุ้นเคย ก็มีตั้งแต่เศษข้าว เส้นก๋วยเตี๋ยว เนื้อสัตว์ ผักต่างๆ ไปจนถึงส่วนที่กินไม่ได้อย่างกระดูก ก้างปลา และเปลือกผลไม้ โดยประมาณกว่า 50% เป็นประเภทคาร์โบไฮเดรต หากขยะเหล่านี้ไม่ถูกจัดการอย่างถูกวิธี ก็จะกลายเป็นภาระที่สร้างมลพิษและก๊าซเรือนกระจกมหาศาล
ด้วยเหตุนี้ สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) จึงดำเนินโครงการส่งเสริมป้องกันและลดการเกิดขยะอาหารจากแหล่งกำเนิดเพื่อเปลี่ยน “ปัญหา” ให้กลายเป็น “โอกาส” สร้างต้นแบบการจัดการขยะอาหารที่ยั่งยืน โดยมีหัวใจสำคัญคือการป้องกัน ลด และคัดแยกตั้งแต่ต้นทาง เมื่อร้านค้าภายในศูนย์อาหารร่วมกันตั้งแต่ต้นทาง เช่น การรับประทานอาหารให้หมด และการแยกขยะอาหารออกจากขยะประเภทอื่นอย่างชัดเจน ขยะอาหารที่เคยถูกมองว่าไร้ค่าก็จะกลายเป็นสิ่งที่มีค่าและนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้ โดยโครงการได้สร้างเครือข่ายเชื่อมโยงขยะอาหารเหล่านี้ไปยังผู้ที่ต้องการใช้ประโยชน์โดยตรง แนวทางแรกคือ ลดขยะอาหารทานให้หมด บอกผู้ขายขอข้าวน้อยและเมื่อเป็นขยะก็นำไปใช้ประโยชน์ โดยเปลี่ยนเป็นอาหารสัตว์ ซึ่งขยะอาหารกลุ่มโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตจะถูกส่งต่อไปยังกลุ่มเกษตรกรและฟาร์มเลี้ยงสัตว์ เพื่อใช้เป็นอาหารคุณภาพดี ช่วยลดต้นทุนให้เกษตรกร คิดเป็นสัดส่วนถึง 28% ของขยะที่นำไปใช้ประโยชน์ ส่วนอีก 72% จะถูกนำไปแปรรูปเป็นสารบำรุงดิน ผ่านกระบวนการหมักทำปุ๋ย กลายเป็นสารบำรุงดินชั้นเลิศสำหรับภาคเกษตรกรรม ช่วยคืนธาตุอาหารกลับสู่ดินและลดการใช้ปุ๋ยเคมี รวมทั้งลดต้นทุนในการจัดการขยะอีกทางหนึ่งด้วย
จากการดำเนินงานอย่างจริงจัง ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่ตัวเลขในกระดาษ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่สร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างแท้จริง โครงการนี้สามารถสร้างต้นแบบที่ทำให้ปริมาณขยะอาหารที่ต้องนำไปฝังกลบลดลงไม่น้อยกว่า 20% ในพื้นที่นำร่อง ซึ่งหมายความว่าภาระของบ่อขยะลดลงอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งไปกว่านั้น การนำขยะอาหารไปใช้ประโยชน์แทนการฝังกลบยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ไม่น้อยกว่า 5 ตันคาร์บอนไดออกไซด์
“การจัดการขยะอาหารตั้งแต่ต้นทางเป็นก้าวสำคัญในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน ความสำเร็จนี้ยังสอดคล้องกับแผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะอาหาร ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2566 – 2570) ของประเทศไทย ที่มุ่งจัดการขยะอาหารอย่างยั่งยืนตามเป้าหมาย SDG 12 (การผลิตการบริโภคที่ยั่งยืน) ของสหประชาชาติ โดยมีเป้าหมายใหญ่คือจัดการขยะอาหารตามวิถีการบริโภคที่ยั่งยืน มุ่งสู่ความมั่นคงทางอาหาร ลดขยะอาหารในระดับค้าปลีกและผู้บริโภคลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2573เพื่อการจัดการและการใช้ทรัพยากรธรรมธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน”
โดยในช่วงที่ผ่านมาได้มีการสร้างความตระหนักรู้ ปลูกจิตสำนึก และสร้างความร่วมมือเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคและแนวปฏิบัติของผู้จำหน่ายอาหารและผู้ประกอบอาหาร ในการป้องกันลดและจัดการขยะอาหาร อีกทั้งมีการสนับสนุนและผลักดันให้มีการจัดการอาหารก่อนหมดอายุ เช่น บริจาคให้ผู้ยากไร้ การคัดแยกขยะแบบแยกประเภท โดยแยกอาหารออกจากขยะทั่วไป มีการเก็บขนขยะ จัดระบบการจัดการขยะมูลฝอย เช่น นำขยะไปหมักเป็นพลังงานไฟฟ้า และสารปรับปรุงดิน รวมถึงในด้านการพัฒนาระบบข้อมูลขยะและสร้างแพลตฟอร์มในการบริหารจัดการร่วมกัน การดำเนินการดังกล่าวต้องต่อเนื่องและวัดผลได้ตามเป้าหมายพัฒนาที่ยั่งยืน
“หากวันนี้เริ่มเปลี่ยนมุมมองใหม่ ป้องกันไม่ให้เกิดขยะอาหารตั้งแต่ต้นทาง จัดการอาหารเหลือ หมดอายุก่อนรวมทั้งผู้ประกอบการเลือกใช้วัตถุดิบอย่างเหมาะสมเพื่อไม่ให้เกิดขยะอาหาร ผู้บริโภครับประทานอาหารโดยเหลือขยะอาหารให้น้อยที่สุด ส่วนศูนย์การค้าและศูนย์อาหารควรมีการคัดแยกขยะอย่างเป็นสัดส่วนที่ชัดเจน จะทำให้เกิดการจัดการได้อย่างเป็นระบบและเป็นประโยชน์ต่อสังคม ในขณะเดียวกันการจัดการขยะภายในบ้านก็สามารถทำได้ และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเดิม ทั้ง การใช้วัตถุดิบในการประกอบอาหารอย่างเพียงพอต่อการรับประทานภายในบ้าน การถนอนอาหาร การดัดแปลงเมนูจากอาหารส่วนเกิน เพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ลดปริมาณของเสียและมลพิษ”
นี่จึงเป็นสิ่งที่ตอกย้ำได้ว่า “ขยะอาหาร” ไม่ใช่สิ่งที่ต้องถูกทิ้งอย่างไร้ค่า เพียงแต่ต้องมองให้เห็นถึงประโยชน์ด้วยความเข้าใจ โดยป้องกันที่ต้นทาง และนำไปใช้ประโยชน์ที่ปลายทาง ดังนั้นทุกคนไม่ว่าจะเป็นต้นทางและปลายทางต่างต้องผสานความร่วมมือกันเพื่อสร้างโลกสีเขียวและสิ่งแวดล้อมที่ดี