เยาวชนต้นแบบ : น้องอาย วิลาสินี ลาดล้าย


คำว่า “เรียนรู้” ไม่มีสิ้นสุด

ในโลกของการเรียนรู้ อย่าคิดว่าเราเก่ง กลับกันเราควรมองว่าเรายังไม่แกร่งพอ เพื่อที่จะเปิดรับสิ่งใหม่ๆ

ในวัยเด็กทุกครั้งเมื่อหยิบอัลบั้มภาพของคุณแม่ที่ใส่ชุดรำในงานต่างๆมาเปิดดู ตัวเองจะรู้สึกชื่นชอบและหลงรักในวิชานาฏศิลป์ เพราะสวยงาม ปราณีต มีเอกลักษณ์และแสดงออกถึงความเป็นไทยได้อย่างนุ่มลึก ซึ่งความฝันในวัยเด็กของเยาวชนคนนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากการหลับนอน กลับกันเกิดขึ้นจาก “พลังแห่งความมุ่งมั่นและตั้งใจจริง” ในการสานฝัน ต่อเติมเจตนารมย์เพื่อจะเป็นคุณครูนาฏศิลป์เช่นเดียวกันกับคุณแม่ ซึ่งทั้งหมดคือแรงบันดาลใจที่สำคัญสำหรับการขับเคลื่อนตนให้ก้าวเดินสู่เส้นทาง วิชานาฏศิลป์ อย่างเต็มตัวในวันนี้ด้วยความภาคภูมิใจจากครอบครัว น้องอายหรือนางสาววิลาสินี ลาดล้าย

น้องอาย ฉายภาพความเป็นมาและประวัติการศึกษาในปัจจุบันได้อย่างน่าสนใจว่า ขณะนี้ตนอายุ 21 ปี จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนศรีกระนวนวิทยาคม จังหวัดขอนแก่น โดยระหว่างการศึกษาตัวเองได้แบ่งเวลาในการสานต่อความฝัน ด้วยการเริ่มเรียนวิชานาฏศิลป์ตั้งแต่วัยเด็ก หมั่นเพียรสำหรับการฝึกฝน ฝึกซ้อมและเปิดรับการเรียนรู้รวมทั้งทักษะใหม่ๆอยู่เสมอ พร้อมทั้งหาเวทีแห่งโอกาสในการถ่ายทอดศิลปะวัฒนธรรมดังกล่าวผ่านเวทีการแข่งขันต่างๆ ยกตัวอย่าง การแข่งขันศิลปหัตถกรรมนักเรียนระดับชาติ ซึ่งสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศประเภทระบำมาตรฐาน และนี่คือรางวัลแห่งความภาคภูมิใจสูงสุดของตัวเองและครอบครัว อย่างไรก็ดีปัจจุบันได้สานต่อความรักในวิชาชีพนาฏศิลป์ด้วยการศึกษาต่อที่ คณะครุศาสตร์ สาขาวิชานาฏศิลป์ไทยในชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยราชภัฎอุดรธานี

“การถ่ายทอดวิชานาฏศิลป์สู่เยาวชนรุ่นหลัง คือ ความสุข” น้องอายเล่าต่ออีกว่า หลังจากการศึกษาในระดับปริญญาตนได้วางแผนอนาคตตัวเองในการประกอบวิชาชีพครูด้านนาฏศิลป์ เพราะตนเชื่อว่า การเป็นผู้ถ่ายทอดที่ดีในรายวิชาดังกล่าวนอกจากองค์ความรู้ด้านวิชาการรวมทั้งภาคปฏิบัติที่เยาวชนรุ่นหลังจะได้รับ ตนยังมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการปลูกฝังความรัก ความหวงแหน รวมทั้งการสืบสานมรดกทางศิลปะของไทยให้คงอยู่สืบไปด้วยความงดงามอย่างภาคภูมิใจ

เยาวชนผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณคนนี้เผยต่ออีกว่า “ตนรู้สึกโชคดีที่มีต้นแบบที่ดีในทุกด้านจากคุณพ่อและคุณแม่และครอบครัว โดยเฉพาะในมิติของภาคการศึกษา ซึ่งนอกจากวิชาความรู้ที่ได้รับอย่างใกล้ชิด ตนยังได้ซึมซับความมีคุณธรรม รวมทั้งการมีเหตุและผลสำหรับการตัดสินใจลงมือปฏิบัติในทุกครั้ง ที่สำคัญคือการเรียนรู้ความหมายของคำว่า “ให้” ที่มาจากใจและใส่ใจสังคมโดยรอบด้วย “น้ำใจ” อันดีงามและโอบอ้อมอารี ซึ่งภาพตัวอย่างที่ดีของครอบครัว คือ พลังที่สำคัญในการขับเคลื่อนตัวเองให้ก้าวเดินและยืนหยัดอยู่ในสังคมได้อย่างสุขใจ”

อีกหนึ่งปัจจัยที่ตนได้รับการปลูกฝังเสมอมา คือ การใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ซึ่งนอกจากการเรียนรู้และฝึกฝนวิชานาฎศิลป์ น้องอายได้จัดสรรเวลาที่เหลือด้วยการใฝ่รู้ในมิติต่างๆ เพิ่มเติม อาทิ อ่านหนังสือ ทบทวนบทเรียน ออกเดินทางท่องเที่ยว รวมทั้งการออกกำลังกาย ที่สำคัญต้องไม่ยุ่งกับยาเสพติดทุกชนิดและทุกประเภท เพราะน้องอายเชื่อเสมอว่า “การเรียนรู้” ไม่มีคำว่าสิ้นสุด และทั้งหมดเป็นส่วนสนับสนุนที่สำคัญให้เยาวชนคนนี้ดูแข็งแรงทั้งสุขภาพกายและใจ

“ทัศนคติที่ดี เข็มทิศสู่ความสำเร็จ”น้องอายตอกย้ำกับตัวเองเสมอว่า ในโลกของการเรียนรู้ อย่าคิดว่าเราเก่ง กลับกันเราควรมองว่าเรายังไม่แกร่งพอ เพื่อที่จะเปิดรับสิ่งใหม่ๆที่เป็นประสบการณ์ให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต นอกจากทัศนคติในการเปิดกว้าง เรายังต้องมีเชื้อเพลิงที่สำคัญอย่างเช่น “ความตั้งใจ” ในการขับเคลื่อนชีวิตให้มีคุณภาพ อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีอุปสรรคและปัญหาที่มากมายเข้ามาทดสอบ เราต้องไม่ย่อท้อและมองให้เป็นทัศนคติเชิงบวก เพื่อทำให้เราก้าวเดินต่อไปอย่างมีพลังและกำลังใจในทุกวัน นับตั้งแต่วันนี้ วันข้างหน้า และวันต่อๆไปในอนาคต


Comments

No comments yet. Why don’t you start the discussion?

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *