ในเดือนกันยายน 2566 ผู้ลงทุนมีความสนใจในหุ้นลดลงหลังจากมีการปรับฐานครั้งใหญ่โดยเฉพาะกลุ่มหุ้นเติบโตและกลุ่มเทคโนโลยี สาเหตุหลักมาจากการปรับเพิ่มขึ้นของ Bond Yield สหรัฐฯ เนื่องจากผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐฯ (FOMC) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ โดยมีมุมมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะไม่เข้าสู่ภาวะถดถอยในปีนี้ ถือเป็นการดำเนินนโยบายการเงินตึงตัวนานกว่าที่ตลาดคาด ส่งผลให้เงินสกุลดอลล่าร์สหรัฐกลับมาแข็งค่า ขณะที่ราคาน้ำมันโลกปรับเพิ่มขึ้นหลังจากผู้ผลิตรายใหญ่ยังคงจำกัดปริมาณการผลิต
นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในรอบล่าสุด โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังมีมุมมองเชิงบวกกับเศรษฐกิจของไทยในปี 2566 และ 2567 นำโดยการบริโภคภายในประเทศ ภาคการท่องเที่ยว รวมถึงการฟื้นตัวของการส่งออก แต่จากแนวโน้มเงินทุนเคลื่อนย้ายกลับไปยังพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และเงินสกุลดอลล่าร์สหรัฐ และความเปราะบางของเศรษฐกิจจีน ทำให้เห็นสัญญาณเงินทุนไหลออกจากหลายตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียในเดือนกันยายน 2566 ทำให้เงินสกุลต่างๆ ปรับตัวอ่อนค่า โดยเฉพาะค่าเงินบาทที่ปรับลดลงมาก อย่างไรก็ดี ผู้ลงทุนต่างชาติยังรอจังหวะการกลับเข้าซื้อหุ้นไทยด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น ความคืบหน้าเกี่ยวกับแผนและนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล ทิศทางค่าเงินบาท รวมถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย
ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย
- ณ สิ้นเดือนกันยายน 2566 SET Index ปิดที่ 1,471.43 จุด ปรับลดลง 6.0% จากเดือนก่อนหน้าซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับดัชนีหลักทรัพย์อื่นๆ ในภูมิภาค และปรับลดลง 11.8% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อนหน้า
- ในเดือนกันยายนปี 2566 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2565 ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มการเงิน กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มบริการ
- ในเดือนกันยายน 2566 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 49,462 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า 34.1% โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน 9 เดือนแรกปี 2566 อยู่ที่ 56,218 ล้านบาท ผู้ลงทุนต่างประเทศขายสุทธิเป็นเดือนที่แปด โดยในเดือนกันยายน 2566 ผู้ลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 22,436 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ผู้ลงทุนต่างประเทศมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 17
- ในเดือนกันยายน 2566 มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน SET 3 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. สามารถ เอวิเอชั่น โซลูชั่นส์ (SAV) บมจ. ไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น (SINO) และ บมจ. ไทย โคโคนัท (COCOCO) และใน mai 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ (GFC)
- Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2566 อยู่ที่ระดับ 16.5 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 12.8 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 22.5 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 14.7 เท่า
- อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนกันยายน 2566 อยู่ที่ระดับ 3.15% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.39%
ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
- ในเดือนกันยายน 2566 ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 583,283 สัญญา เพิ่มขึ้น 10.4% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการเพิ่มขึ้นของ SET50 Index Futures และ Single Stock Futures และในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 548,766 สัญญา ลดลง 2.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures
“SET…Make it Work for Everyone”