เรียบเรียงโดย ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย หรือ TEI

เริ่มต้นปี เรื่องของสิ่งแวดล้อมก็ร้อนระอุหลายเรื่อง ทั้งเรื่องมลพิษทางอากาศฝุ่นPM2.5 ที่ในปีนี้เกินค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ไปมากโดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานครและภาคเหนือ และเรื่องของไฟป่าที่เขาใหญ่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่กระทบกับวงการสิ่งแวดล้อม ดังนั้นหากถามว่าสิ่งแวดล้อมในปี 2568 และอนาคตจะไปในทิศทางไหนอะไรที่เราต้องเฝ้าจับตาเป็นพิเศษ
ในปีที่ผ่านมา (2567) ทั่วโลกและประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มีทั้งปัญหาเก่าสะสม ไม่ว่าจะเป็นปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ที่เกิดขึ้นในช่วงต้นปีทุกๆปีในพื้นที่กรุงเทพมหานครและภาคเหนือ ปัญหาขยะมูลฝอยที่มีปริมาณ 27-28 ล้านตันต่อปี แต่การบริหารจัดการท้องถิ่นที่เป็นภาคส่วนหลักในเรื่องการจัดการมูลฝอยซึ่งมีสองพันแห่ง แต่จัดการถูกต้องตามหลักวิชาการมีเพียง 18% รวมไปถึงขยะพลาสติกที่เกิดขึ้นในประเทศและมาทางทะเลจากพื้นที่อื่น ๆ โดยเฉพาะพื้นที่ท่องเที่ยวชายฝั่งทะเลและพื้นที่เกาะ ขณะที่ปัญหาสิ่งแวดล้อมใหม่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นทางจังหวัดเชียงรายและภาคใต้ และปัญหาที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นก็คืออุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นส่งผลกระทบต่ออุณหภูมิของน้ำทะเลที่สูงขึ้น ทำให้เกิดปากะรังฟอกขาว หญ้าทะเลตาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและนำมาซึ่งความสูญเสียต่อความหลากหลายทางชีวภาพที่เสื่อมโทรม ดังกรณีของพะยูนที่ตายจำนวนมากเพราขาดแหล่งอาหาร
สำหรับในปี 2568 และอนาคตเรื่อง PM2.5 และขยะพลาสติกก็ยังเป็นภัยคุกคามต่อทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งในปีนี้เตรียมประกาศใช้สนธิสัญญาพลาสติกโลก หรือ “Global Plastic Treaty” โดยทั่วโลกมีความหวังที่จะแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกเนื่องจากข้อตกลงดังกล่าวจะมีโครงสร้างที่ครอบคลุมวงจรชีวิตของพลาสติก โดยกำหนดให้มีมาตรการในแต่ละขั้นตอน ตั้งแต่การผลิต การออกแบบผลิตภัณฑ์ การใช้งาน การใช้ซ้ำ การรีไซเคิล การจัดการขยะ การฟื้นฟูพื้นที่ปนเปื้อน และการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมสำหรับผู้ที่อาจได้รับผลกระทบหรือได้รับผลกระทบแล้ว
อีกเรื่องหนึ่งต้องให้ความสำคัญและจับตาเป็นพิเศษก็คือเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและโลกร้อน เนื่องจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังคงเป็นปัญหาสำคัญ ซึ่งจากภาวะโลกร้อนส่งผลการสูญเสียความหลากหลายทางชีวิภาพ และสำหรับในปี 2568 คาดการณ์ว่าจะเกิดลักษณะคล้ายกับปีที่ผ่านมาคือ การเกิดเอลนีโญอุณหภูมิในหลายพื้นที่ของไทยอาจะสูงถึง 35-37 องศาเซลเซียส โดยเฉพาะในภาคเหนือและลานีญาจะมีฝนมากกว่าปกติแต่ไม่ได้รุนแรงมากนัก แต่ก็ต้องเฝ้าระวังและรับมือการจัดการภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วมและภัยแล้ง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เกษตรกรต้องเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง เช่นการเลือกปลูกพืชที่ทนทานต่อภัยแล้งและน้ำท่วมและการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างเหมาะสมคุ้มค่าตามกาลเวลา
ทั้งนี้ในมุมมองของดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย มองว่าทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน รวมทั้งภาคเอกชนที่จะต้องปรับตัวตามมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ เช่น การลดขยะ การจัดการน้ำเสียคาร์บอนเครดิตหรือภาษีคาร์บอน และการจัดการทั้งระบบห่วงโซ่อุปทาน เพราะปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นหน้าที่ของทุกคนในการปรับตัวและดำเนินชีวิตอย่างรับผิดชอบเพื่อรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสำหรับอนาคตที่ยั่งยืน