เรียบเรียงโดย ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย หรือ TEI

แม้ในช่วงสัปดาห์แรกของการเริ่มต้นทำงานศักราชใหม่ สภาพอากาศจะเย็นสบาย มีลมพัดพลิ้วไหวถูกใจใครหลายๆคนในการเริ่มต้นปีใหม่ แต่ขณะเดียวกันอากาศที่เย็นสบายก็มาพร้อมกับฝุ่นละอองขนาดจิ๋ว (PM2.5) เกินค่ามาตรฐานที่ปกคลุมไปทั่วกรุงเทพมหานคร จนทำให้หลายคนรู้สึกไม่สบายตัวและมีผลกระทบต่อสุขภาพ ดังนั้นหากถามว่าในปี 2568 สถานการณ์PM2.5 จะน่ากลัวแค่ไหน สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย หรือ TEI ในฐานะองค์กรพัฒนาเอกชน ที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนงานด้านสิ่งแวดล้อม สามารถสรุปประเด็นปัญหาและเสนอแนวทางออก ดังนี้

ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย
ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย หรือ TEI กล่าวว่า ปัญหาPM2.5 คือปัญหาสะสมมาอย่างยาวนาน ซึ่งหากดูจากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษสถานการณ์ค่าฝุ่น PM2.5 ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2563-2567) หลายพื้นที่มีค่า PM2.5 เกินค่ามาตรฐาน 37.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร โดยในปีต้นปี 2568 พบว่าในพื้นที่ภาคกลาง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เริ่มเกิดปัญหา PM2.5 ที่มีค่าสูงแล้วคล้ายๆกับหลายปีที่ผ่านมา เดือนพฤศจิกายนและยาวมาถึงเดือนมีนาคมในปีถัดมา ขณะที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือPM2.5 จะเกิดขึ้นในเดือนมกราคม–เดือนพฤษภาคม ส่วนภาคใต้จะอยู่ที่เดือนกรกฎาคม-เดือนกันยายน แต่ในระยะหลัง10ปีที่ผ่านมา ภาคใต้ไม่ค่อยประสบปัญหาเค่าฝุ่นเกินมาตรฐานเนื่องจากประเทศอินโดนีเซียสามารถควบคุมและจัดการในพื้นที่ประเทศได้ จึงไม่เกิดหมอกควันข้ามพรมแดน

“สำหรับค่ามาตรฐานกำหนดไว้ต้องไม่เกิน 37.5ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร แต่ในช่วงต้นปีดูจากสถิติ 5 ปีที่ผ่านมาจะสูงกว่าที่กำหนดไว้ ดังนั้นในปี 2568 ที่ PM2.5 ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีค่าสูงตั้งแต่ต้นปี และคาดการณ์ว่าค่าฝุ่นPM2.5 ก็คงไม่แตกต่างกันกับปีที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตามก็ค่าฝุ่นหลังจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ซึ่งในปี2568 มีการคาดการณ์ว่าจะเกิด ลานีญ่า ที่ทำให้ปริมาณฝนมากกว่าปกติ ส่งผลให้ความชื้นในอากาศสูงขึ้น และ ลดการลุกลามของการเผาเศษวัสดุชีวมวลไหม้ของซึ่งก็อาจจะช่วยให้ปัญหาฝุ่นเบาบางลงได้ แต่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้มีการแปรปรวนตลอดเวลา”
ขณะที่ แหล่งกำเนิดของ PM2.5 แต่ละภูมิภาคแตกต่างกัน โดยภาคเหนือ เกิดจากไฟป่า การเผาเศษวัสดุการเกษตร หมอกควันข้ามพรมแดน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนใหญ่จะไม่มีพื้นที่ป่า โดยจะเกิดจากการเผาเศษวัสดุการเกษตร ทั้งการปลูกพืช ปลูกอ้อย หมอกควันข้ามแดน เผาริมทาง ภาคกลางเกิดจาก การเผาเศษวัสดุการเกษตร และหมอกควันข้ามแดน
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ส่วนใหญ่มาจากยานพาหนะ (จราจร/ขนส่ง) ที่ใช้รถดีเซลเป็นส่วนใหญ่มีกํามะถันสูงปล่อยฝุ่นขนาดเล็ก การเผาในพื้นที่โล่ง (สำหรับพื้นที่ใกล้กรุงเทพมหานคร ที่มีพื้นที่เกษตรเป็นจำนวนมาก) และโรงงานอุตสาหกรรม
สำหรับวิธีการจัดการและรับมือการฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 คือการมุ่งเป้าจัดการแหล่งกำเนิด ประเภท พื้นที่เกษตรทั้งในพื้นที่ป่าและพื้นที่เกษตรทั่วไป เช่นตอนนี้รัฐบาลจะมีการสนับสนุนเกษตรปลอดการเผา ดังนั้นควรสร้างแรงจูงใจให้เกษตรทำการเกษตรไม่เผา

TEI ที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนงานด้านสิ่งแวดล้อม และได้ทำงานร่วมกับฝ่ายต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน ประชาสังคม รวมถึงการดำเนินโครงการพัฒนาความร่วมมือ ไทย-ลาว-เมียนมา ขับเคลื่อนการจัดการและลดมลพิษหมอกควันข้ามแดนจึงมี 7 ข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาPM2.5 เพื่อลดการปล่อยมลพิษที่มาจากแหล่งต่างๆ คือ
1.ควบคุมการใช้ยานพาหนะและโรงงานที่สร้างมลพิษ โดยบังคับใช้กฎหมาย ตรวจสอบและควบคุม การใช้ประโยชน์จากชีวมวล รูปแบบการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
2.การปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพอากาศ ที่จากเดิมเคยกำหนดไว้ที่ 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เหลือ37.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ที่ได้ดำเนินการแล้ว จะมีการดำเนินการหรือปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรฐาน
3.การศึกษาวิจัย โดยศึกษาวิจัยและสำรวจสาเหตุแหล่งกำเนิดของมลพิษและการปนเปื้อนในอากาศและประสิทธิภาพของมาตรการต่าง ๆ โดยควรมีการวิจัยมุ่งเป้าที่ควบคุมPM2.5 ไม่ให้เกินค่ามาตรฐาน
4.การสร้างความตระหนักในสังคม สร้างความตระหนักรู้ในสังคมเกี่ยวกับผลกระทบมลพิษในอากาศต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
5.การผลักดันนโยบายสาธารณะ การผลักดันร่างกฎหมายอากาศสะอาด นโยบายสาธารณะ ที่ส่งเสริมการลดมลพิษในอากาศและการเสริมสร้างโครงสร้างที่เอื้อต่อการลดมลพิษ
6.การจัดการเหตุฉุกเฉิน เตรียมความพร้อมและการจัดการฉุกเฉินในกรณีที่มลพิษหรือ PM2.5 ในอากาศมีระดับสูงขึ้น จนมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน
7.การสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ การทำงานร่วมกับประเทศอื่นในภูมิภาคและระดับสากล เพื่อจัดการหมอกควันข้ามพรมแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน การถอดบทเรียน และขยายผลในระดับภูมิภาค
ทั้งนี้ ดร.วิจารย์ กล่าวทิ้งท้ายว่า PM2.5 ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในประเทศไทย แต่เกิดขึ้นกับประเทศเพื่อนบ้านดังนั้นต้องอาศัยการให้ความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง ต้องเข้มงวดในกฎเกณฑ์ ข้อกำหนดต่างๆ กว่าเดิม โดยเฉพาะการจัดที่ดินให้ชุมชน โดยเฉพาะในพื้นที่อนุรักษ์ และพื้นที่ป่าสงวน พร้อมส่งเสริมอาชีพเอาตลาดนำการขับเคลื่อนการลดPM2.5 เกษตรปลอด
การเผาที่มีการรับรองสินค้า การนำเทคโนโลยีมาใช้ ซึ่งรัฐต้องให้ความสำคัญฐานข้อมูล (Big Data) เพื่อการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ และแก้ไขปัญหา PM2.5 ได้อย่างยั่งยืนต่อไป