
การพัฒนาทุกอย่างต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจตัวเองเสียก่อน รู้ว่าปัจจุบันเราเป็นอย่างไร แล้วจะพัฒนาไปถึงจุดใด เช่น การวิ่งมาราธอน ต้องเริ่มจากการศึกษาตัวเองว่าสภาพร่างกายเราเป็นอย่างไร ลองวิ่งจากระยะสั้นๆ 1-5 กิโลเมตร ไประยะมินิมาราธอนคือ 10 กิโลเมตร ไประยะฮาฟคือ 21 กิโลเมตร แล้วจะรู้ว่าการวิ่งมาราธอนที่ 42.195 กิโลเมตรเราทำได้แค่ไหน (บางคนอาจถอดใจตั้งแต่ระยะ 10 กิโลเมตรก็เป็นได้) การพัฒนาองค์กรไปสู่ Net Zero ก็เช่นกัน ถ้าเรายังไม่ได้ศึกษาว่าองค์กรของเราอยู่ที่จุดใดในปัจจุบันเราก็จะไม่รู้ว่าเราต้องพัฒนาอย่างไรบ้าง

คาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (Carbon Footprint for Organization หรือ CFO) คือ การวัดปริมาณก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas: GHG หรือ ก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นก๊าซในบรรยากาศที่กักเก็บความร้อนและทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น) ทั้งหมดที่ปล่อยออกมาจากกิจกรรมต่างๆ ขององค์กร ตั้งแต่การผลิต การใช้พลังงาน การขนส่ง ไปจนถึงการจัดการของเสีย โดยวัดออกมาในรูปของตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO₂e) การศึกษา CFO ช่วยให้องค์กรสามารถประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวางแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต โดยปกติจะเห็นองค์กรต่างๆ ระบุหรือประกาศว่าองค์กรของเราจะดำเนินการเป็น CFO หรือวางตัวว่าเราจะใส่ใจสิ่งแวดล้อมละนะ เราจะศึกษาเรื่องการปล่อยคาร์บอนฯ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกจริงจังละนะ
ISO 14064-1 เป็นมาตรฐานสากลที่กำหนดหลักการและข้อกำหนดในระดับองค์กรสำหรับการวัดปริมาณและการรายงานการปล่อยและการกำจัดก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas: GHG) กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มาตรฐานนี้เป็นแนวทางสำหรับองค์กรในการติดตามและรายงานปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนเอง มาตรฐานสากลนี้เป็นวิธีที่จะทำให้องค์กรเกิดแนวทางในการดำเนินการตามแนวคิด CFO ข้างต้น เพราะด้วยคำว่า ISO หรือ องค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน (International Organization for Standardization) เป็นองค์กรที่ทำหน้าที่กำหนดมาตรฐานสากลในหลายๆ ด้าน รวมทั้งด้านสิ่งแวดล้อมด้วย เพื่อให้เกิดความเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ตัวอย่างเช่น บริษัท อีมิแน้นท์แอร์ ผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศก็ได้รับมาตรฐานนี้เรียบร้อยแล้วครับ
การประเมินจะแบ่งออกเป็น 3 scope ได้แก่
Scope 1 การคำนวณ CFO โดยตรง (Direct Emissions) จากกิจกรรมต่างๆ ขององค์กรโดยตรง กล่าวคือเป็น GHG ที่องค์กรสร้างขึ้นมาเอง เช่น การเผาไหม้น้ำมันเชื้อเพลิงของเครื่องจักร การใช้พาหนะขององค์กร (ที่องค์กรเป็นเจ้าของเอง) การใช้สารเคมีที่เกี่ยวข้องกับก๊าซเรือนกระจก อุปกรณ์ภายในออฟฟิศ เป็นต้น
Scope 2 การคำนวณ CFO จากการใช้พลังงาน (Energy Indirect Emissions) คือการซื้อพลังงานมาใช้ในองค์กร ได้แก่ พลังงานไฟฟ้า พลังงานความร้อน พลังงานไอน้ำ เป็นการปล่อย GHG ในทางอ้อมที่มาจากแหล่งพลังงานหรือไฟฟ้าที่องค์กรซื้อมาจากแหล่งอื่นๆ
Scope 3 การคำนวณ CFO ทางอ้อมด้านอื่นๆ (Indirect Emissions in supply chain) เช่น การเดินทางของพนักงานด้วยยานพาหนะที่ไม่ใช่ขององค์กร การเดินทางไปสัมมนานอกสถานที่ การใช้บริการของซัพพลายเออร์รายต่างๆ ที่รับส่งของ และการใช้วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ เป็นต้น

การคำนวณการปล่อยและการกำจัดก๊าซเรือนกระจกนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการศึกษาตัวเอง เพื่อหาแนวทางในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อไป โดย Scope 1,2 องค์กรสามารถหาวิธีการในการควบคุมให้ลดลงได้ ส่วน Scope 3 เป็นส่วนที่ต้องขอความร่วมมือจากซัพพลายเออร์ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจจะทำได้ยากกว่า แต่มองอีกมุมก็เป็นวิธีที่ดีที่จะทำให้ทุกๆ องค์กรมีส่วนร่วมในการดูแลสิ่งแวดล้อมร่วมกัน เพราะถ้าหลายๆ องค์กรเริ่มทำ CFO ก็จะเกิด Ecosystem ที่จะบังคับให้ทุกๆ บริษัททำไปโดยปริยาย จะลดได้มากหรือน้อยก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ถ้าไม่เริ่มก็คงไม่ลดแน่ๆ ดังนั้นมาเริ่มกันตั้งแต่วันนี้ดีกว่า จะได้ไปสู่มาตรฐานอื่นๆ ต่อไป ไว้มาเล่าให้ฟังใหม่นะครับ