บทเรียนจากน้ำท่วมหาดใหญ่: เมื่อสัญญาณเตือนภัย “โลกเดือด” เรียกร้องการปรับตัวและเปลี่ยนแปลง


สถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ที่เพิ่งผ่านพ้นไป ไม่ได้ทิ้งไว้เพียงร่องรอยความเสียหายของชีวิตทรัพย์สินและจิตใจของพี่น้องประชาชนเท่านั้น แต่เหตุการณ์นี้กำลังส่งเสียงเตือนดังสนั่นถึงวิกฤตการณ์ที่ใหญ่กว่า นั่นคือภาวะ “โลกเดือด” (Global Boiling) ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ที่ชัดเจนว่าภัยธรรมชาติในวันนี้มีความรุนแรงและซับซ้อนเกินกว่ารูปแบบเดิมที่ประเทศไทยเคยเผชิญมาในอดีตและคาดการณ์ได้ยากขึ้น

วิกฤตครั้งนี้ถือว่ามีความรุนแรงในระดับสูง ทั้งในแง่ของพื้นที่และจำนวนผู้ได้รับผลกระทบ โดยมีปัจจัยหลักมาจากปริมาณฝนที่ตกอย่างหนักถึง 350 มิลลิเมตรต่อวัน ซึ่งนักวิชาการระบุว่าเป็นปริมาณที่มากผิดปกติในรอบ 300 ปี ความผิดปกตินี้เป็นผลพวงโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Change ที่ในปีนี้ประเทศไทยต้องเผชิญกับปรากฏการณ์ลานีญา ส่งผลให้มีฝนตกหนักต่อเนื่องแม้ในช่วงฤดูหนาว ผนวกกับสภาพภูมิประเทศของหาดใหญ่ที่มีลักษณะเป็น “แอ่งกระทะ” ที่ต้องรับน้ำจากเทือกเขาทุกทิศทุกทางเพื่อระบายลงสู่ทะเลสาบสงขลา เมื่อมาเจอกับการขยายตัวของเมืองที่สิ่งปลูกสร้างขวางทางน้ำธรรมชาติและจังหวะน้ำทะเลหนุนสูง จึงทำให้มวลน้ำระบายออกจากพื้นที่ได้ยากและเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่ชุมชนและเขตเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทันและเกิดความเสียหายมาก

ทางออกสำหรับการบริหารจัดการน้ำในยุคโลกเดือด จึงจำเป็นต้องทบทวนกระบวนการในมิติต่างๆ โดยต้องเริ่มจากการเข้าใจธรรมชาติของน้ำซึ่งน้ำเป็นของไหลที่ต้องการที่อยู่ การบริหารจัดการจึงต้องมองภาพรวมของทั้งพื้นที่ลุ่มน้ำอย่างสมดุล ตั้งแต่การดูแลพื้นที่ต้นน้ำ การจัดการพื้นที่กลางน้ำ การวางผังเมืองไม่ให้มีสิ่งกีดขวางทางน้ำ และการเชื่อมโยงระบบระบายน้ำปลายน้ำลงสู่ทะเลสาบสงขลา โดยคำนึงการใช้ธรรมชาติเป็นพื้นฐาน (Nature-based Solutions) ควบคู่ไปกับโครงสร้างทางวิศวกรรมที่เหมาะสม เพื่อให้น้ำมีทางไปและไม่สร้างผลกระทบต่อชุมชนเมือง

นอกจากปัจจัยทางกายภาพแล้ว บทเรียนสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไขคือระบบการเตือนภัยและการบริหารจัดการข้อมูล จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพบว่าประชาชนส่วนหนึ่งยังขาดความเชื่อมั่นต่อข้อมูลภาครัฐ ส่งผลให้การตัดสินใจอพยพล่าช้า อีกทั้งปัญหาความเปราะบางของ ระบบฐานข้อมูลประชากร การบัญชาการในพื้นที่เมืองเกิดวิกฤตทำให้การเข้าช่วยเหลือกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ป่วยติดเตียงหรือผู้สูงอายุ เป็นไปอย่างยากลำบากเพราะไม่ทราบพิกัดที่แน่ชัด

ดังนั้นอนาคตหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงจำเป็นต้องเร่งนำเทคโนโลยี ภาพถ่ายดาวเทียม และแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ เข้ามาช่วยคาดการณ์สถานการณ์ล่วงหน้า รวมทั้งวางแผนรับมือผ่านศูนย์บัญชาการเดียว (Single Command) ที่สามารถบูรณาการความช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงทีและแม่นยำ

บทเรียนจากวิกฤตครั้งนี้จึงไม่ได้จบลงเพียงแค่การฟื้นฟูความเสียหาย แต่คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่กระตุ้นให้ทุกภาคส่วนต้องหันมาตระหนักถึงการเตรียมความพร้อมรับมือและปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Adaptation) อย่างจริงจัง โจทย์สำคัญในระยะยาวคือการทบทวนการวางผังเมืองและการบริหารจัดการลุ่มน้ำแบบบูรณาการที่เชื่อมโยงข้อมูลตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้มีความยืดหยุ่นและสอดคล้องกับสภาพอากาศโลกที่แปรปรวน การดำเนินการเหล่านี้ไม่ใช่เพียงแค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่เปรียบเสมือนการสร้าง “ภูมิคุ้มกัน” ระยะยาว ที่จะช่วยให้เมืองหาดใหญ่และพื้นที่เสี่ยงภัยอื่นๆ สามารถยืนหยัดและรับมือกับภัยพิบัติในอนาคตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน


Comments

No comments yet. Why don’t you start the discussion?

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *