
สวนหมัดกันไปมาระหว่างประเทศมหาอำนาจทั้งสองอย่างสหรัฐอเมริกา และจีน ต่างคนต่างขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกัน บลัฟกันไปมาทำให้โลกโกลาหล (อเมริกาไม่ได้ขึ้นเฉพาะจีนเท่านั้น แต่ประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ก็โดนหางเลขกันไปหมด) ในโลกการค้าระหว่างประเทศ เป็นธรรมดาที่ต้องมีการปกป้อง (หรือกีดกัน) การค้าระหว่างประเทศ เพื่อป้องกันไม่ให้สินค้าจากต่างประเทศทะลักเข้ามาในประเทศ รวมถึงเป็นการปกป้องสินค้าภายในประเทศเอง ไม่ให้เจอการแข่งขันที่สูงเกินไป โดยมาตรการกีดกันทางการค้าสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ Tariff Barrier และ Non-Tariff Barrier
มาตรการด้านภาษีศุลกากร (Tariff) คือภาษีที่ประเทศหนึ่งเรียกเก็บจากสินค้าที่นำเข้าจากอีกประเทศหนึ่ง โดยภาษีศุลกากรมีจุดประสงค์เพื่อให้สินค้าและบริการในประเทศมีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น
มาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี (Non-Tariff Barrier: NTB) คือมาตรการที่เป็นอุปสรรคต่อการค้าระหว่างประเทศ ตัวอย่างเช่น มาตรการด้านสุขอนามัย (Sanitary Measures) มาตรการด้านสิ่งแวดล้อม (Environment Measures) NTB เป็นมาตรการที่หลายประเทศได้นำมาใช้ในยุคการค้าเสรี เพื่อเป็นเครื่องมือและอุปสรรคกีดกันทางการค้ากับประเทศคู่ค้าหรือเพื่อปกป้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศตนเอง
ตั้งแต่โดนัลด์ ทรัมป์เข้ามารับตำแหน่งในวาระที่สอง (ซึ่งไม่รู้ว่าจะเป็นวาระสุดท้ายของท่านหรือไม่) ทั่วโลกต้องตื่นตระหนก และตื่นตัวกับมาตรการกีดกันทางการค้าอย่างรุนแรงของท่านประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนส่วนมากมักจะมองที่ Tariff Rate หรืออัตราภาษีที่ต่อรองกดดันกันไปมาระหว่างประเทศมหาอำนาจทั้งหลาย โดยที่ประเทศเล็กๆ ได้แต่มองตาปริบๆ แต่อันที่จริงมีมาตรการกีดกันอีกหลายระลอกที่เราควรศึกษาไว้

CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) คือมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นการกำหนดราคาสินค้านำเข้าบางประเภทเพื่อป้องกันการนำเข้าสินค้าที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเข้ามาใน EU โดยในสินค้า 5 กลุ่มแรก ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการปล่อยคาร์บอนในระดับสูง ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้า ซีเมนต์ กระแสไฟฟ้า ปุ๋ย และอลูมิเนียม CBAM เป็น 1 ใน มาตรการสำคัญของ European Green Deal ที่สหภาพยุโรปจะนำมาปรับใช้ มาตรการ CBAM เสมือนเป็นแรงกดดันทางอ้อมให้ผู้ผลิตสินค้าในประเทศกำลังพัฒนาหันมาปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นและลดการปล่อยคาร์บอนลง หรือหันมาลงทุนในพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น เพื่อที่จะสามารถแข่งขันและเข้าสู่ตลาด EU ได้
CBAM มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2023 โดยในช่วงเปลี่ยนผ่าน จะเน้นการรายงานข้อมูลปริมาณก๊าซเรือนกระจก และผู้นำเข้าสินค้าต้องเริ่มจ่ายค่าธรรมเนียม CBAM ในต้นปี 2026 สินค้าที่มีการปล่อยก๊าซ embedded emissions สูงในกระบวนการผลิตเมื่อเทียบกับค่ากลาง (benchmark value) ที่กำหนดโดยสหภาพยุโรปจะต้องเสียค่าธรรมเนียม CBAM พูดง่ายๆ คือเสียเงินในการนำเข้าสินค้าเพิ่มนั่นเอง โดยอัตราภาษีในช่วงแรกจะเริ่มต้นที่ 10% เพื่อให้ผู้ประกอบการมีเวลาปรับตัว หลังจากนั้นอัตราจะค่อยๆ ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 100% ในช่วงปี 2034-2035 (ตอนนี้ชักไม่แน่ใจละ ตั้งแต่อเมริกาเขย่าโลกด้วยอัตราภาษีระดับต่างๆ ตัวเลขใดๆ มาตรการใดๆ ก็เริ่มไม่แน่นอนละครับ)
การปรับตัวสำหรับ CBAM ของผู้ประกอบการไทย สามารถปรับตัวโดยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตสินค้า จะทำให้สามารถลดความเสี่ยงในการส่งออกสินค้า และเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน
โดยสรุปจะเห็นได้ว่ามาตรการกีดกันทางการค้ากับเรื่องโลกร้อนดูจะเกี่ยวข้องกัน หลายประเทศอาจจะใช้เรื่องสิ่งแวดล้อมเข้ามาเป็นมาตรการที่ดูจะเป็นมาตรการที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม แต่อันที่จริงก็แอบเป็น Non-Tariff กลายๆ ไม่ใช่เพียงแค่ CBAM เท่านั้น แต่อีกหลายตัวที่จะได้เห็นออกมาเรื่อยๆ เช่น ห้าง Walmart ในอเมริกา กำหนดให้สินค้าทุกชิ้นต้องมีฉลากคาร์บอน (CFP) เป็นต้น ผู้ประกอบการใดที่ปรับตัวไม่ทันอาจจะต้องมุ่งทำตลาดภายในประเทศแทนในระยะสั้น อย่างไรก็ดีในระยะยาวก็คงต้องปรับตัวเข้าไปสู่การผลิตแบบคาร์บอนต่ำหรือผลิตก๊าซเรือนกระจกต่ำนั่นเอง