กินไอศกรีมทั้งที รักษ์โลกไปด้วยดีไหม กับ Ben & Jerry’s


ตลาดไอศกรีมในประเทศไทยเป็นตลาดที่น่าสนใจมากๆ ด้วยอากาศที่ร้อน ร้อนขึ้น และร้อนมากตลอดทั้งปี

การบริโภคไอศกรีมนอกจากจะช่วยดับร้อนแล้ว ยังช่วยสร้างความสุขให้กับผู้บริโภคได้ด้วย ตลาดไอศกรีมในประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 14,400 ล้านบาท  มีการแข่งขันสูงจากผู้เล่นทั้งรายใหญ่และรายย่อยทั้งจากแบรนด์ในประเทศและต่างประเทศ มีทั้งแบบในตู้แช่ เช่น วอลล์ เนสท์เล่ แบบซอฟท์เสริฟ เช่น แดรี่ควีน แมคโดนัลด์ เคเอฟซี และมี่เสวี่ย (Mixue) แบบซื้อกลับบ้าน เช่น ฮาเก้นดาซ และ Ben & Jerry’s

นอกจากนี้ประเทศไทยยังเป็นผู้ส่งออกไอศกรีมอันดับ 1 ในเอเชีย และเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร ซึ่งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ไทยสามารถส่งออกไอศกรีมสู่ตลาดโลกเฉลี่ยปีละ 106 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 3.7 พันล้านบาท และมีการเติบโตเฉลี่ยสูงถึง 11% ต่อปี แต่…ไม่ค่อยมีใครพูดถึงไอศกรีมที่รักษ์โลกกันเท่าไรนัก เดี๋ยวผมเล่าให้ฟังครับ

Ben & Jerry’s เป็นไอศกรีมที่ผมรู้จักโดยบังเอิญขณะไปเที่ยวที่บอสตันเมื่อนานมาแล้ว Ben & Jerry’s ก่อตั้งขึ้นในปี 1978 โดย เบน โคเฮน (Ben Cohen) และ เจอร์รี กรีนฟิลด์ (Jerry Greenfield) สองเพื่อนซี้ชาวอเมริกัน ทั้งคู่ใช้เงินสะสมรวมกัน 12,000 ดอลลาร์ (ยืมธนาคาร 4,000 ดอลลาร์) เพื่อเปิดร้านไอศกรีมเล็ก ๆ แห่งแรกซึ่งตั้งอยู่ในปั๊มน้ำมันเก่าในเมืองเบอร์ลิงตัน รัฐเวอร์มอนต์ Ben & Jerry’s มีรสชาติที่กล้ามาก คือ ความกล้าที่จะใส่ chunk ใส่นู่นนี่เข้าไปทั้งช็อกโกแลต ชีสเค้ก ถั่ว หรือคุกกี้ชิ้นใหญ่ๆ แบบไม่หวงวัตถุดิบ ทำให้เกิดรสชาติแปลกใหม่และตั้งชื่อสนุกๆ  เช่น Cherry Garcia (ตั้งชื่อตามนักร้อง), Chunky Monkey, Chocolate Fudge Brownie Ben & Jerry’s จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของ ความสนุก ความสร้างสรรค์ และหัวใจที่ห่วงใยโลก

ในปี 2000 Ben & Jerry’s ถูกซื้อกิจการโดย Unilever บริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคยักษ์ใหญ่ แต่ Ben & Jerry’s ยังคงดำเนินงานโดยมีคณะกรรมการอิสระคอยกำกับ เพื่อให้มั่นใจว่าอุดมการณ์ทางสิ่งแวดล้อมยังคงอยู่ ปัจจุบัน Ben & Jerry’s มีจำหน่ายใน 35 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย และยังเป็นผู้นำด้านธุรกิจเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Business) ไม่ว่าจะเป็นการลดการปล่อยคาร์บอน การใช้พลังงานหมุนเวียน หรือการสนับสนุนความยุติธรรมทางสังคม ทุกคำของ Ben & Jerry’s จึงไม่ใช่แค่ไอศกรีม แต่คือความหวานเย็นที่มาพร้อมความรับผิดชอบต่อโลก Ben & Jerry’s ลดการใช้พลาสติกในการผลิตถ้วยไอศกรีมด้วยการใช้พลาสติกที่ผลิตจากพืชหมุนเวียนที่นำไปรีไซเคิลได้ ทำให้ใช้พลาสติกน้อยลงถึง 40% ส่วนตัวไอศกรีมเพิ่มผลิตภัณฑ์ที่เป็น Non-Dairy หรือผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนผสมของนมและโปรตีนจากนม เช่น นม เนย ชีส โยเกิร์ต แลคโตส โปรตีนเวย์ เพราะการผลิตนมคิดเป็นมากกว่า 50% ของการปล่อยคาร์บอนทั้งหมดของ Ben & Jerry’s นอกจากนี้ยังมีการปรับสูตรอาหารของวัว เพื่อลดการปล่อยก๊าซมีเทนที่เกิดจากการย่อยอาหาร (Enteric emissions) อีกด้วย

สิ่งที่น่าสนใจของ Ben & Jerry’s คือการตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามหลักวิทยาศาสตร์ (Science Based Targets, SBTi) หมายถึงเป้าหมายที่มีความชัดเจนและวัดผลได้ โดยกำหนดตัวเลขที่แน่นอนในการลดการปล่อยคาร์บอน ซึ่งหมายความว่าเราต้องรับผิดชอบต่อผลลัพธ์จริง ไม่ใช่แค่การปลูกต้นไม้ไม่กี่ต้นหรือซื้อคาร์บอนเครดิตในขณะที่ยังใช้พลังงานเท่าเดิม Ben & Jerry’s จึงไม่พูดถึงการชดเชยคาร์บอน (carbon offsets) หรือเป้าหมายคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (net-zero goals) เพราะคิดว่ามันยัง “ทำไม่ได้จริง“  เป้าหมาย SBTi ของ Ben & Jerry’s ได้แก่ โรงงานและสถานประกอบการทั้งหมดจะใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ภายในปี 2025 จะลดความเข้มข้นของการปล่อยคาร์บอน ลง 40% ภายในปี 2025 (เมื่อเทียบกับค่าพื้นฐานในปี 2015) และจะลดลง 80% ภายในปี 2050

Ben & Jerry’s จึงไม่ได้แค่ตั้งเป้าเพื่อให้ดูดี แต่ตั้งเป้าที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง อ่านแล้วอยากจะไปสนับสนุนมาชิมสัก 1 ถ้วยเลยนะครับ


Comments

No comments yet. Why don’t you start the discussion?

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *